วิเคราะห์ตลาด Home Office ในวันที่มีแผนส่งเสริม SMEs ฉบับที่ 4 [Ads]
13 December 2562
จับตามองสถานการณ์ Home Office กลางกรุง
ท่ามกลางแผนการส่งเสริม SMEs ฉบับที่ 4 รวมถึงทำเลโดดเด่น และแนวโน้มอุปสงค์-อุปทานในอนาคต
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเดินหน้าขับเคลื่อน และพัฒนาธุรกิจ SME ให้มีความเข้มแข็งเทียบเท่าระดับสากล พร้อมวางเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ “การเพิ่มสัดส่วนมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของ SMEs ให้สูงขึ้นไม่น้อยกว่า 50% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ”
โดยแผนการส่งเสริม SME ฉบับที่ 4 (ปี 2560-2564) นี้จะเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนา SME ไทย ส่งเสริมให้มีบทบาทต่อการสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศมากยิ่งขึ้น ตามหลักยุทธศาสตร์ 3 ข้อ ได้แก่...
- ส่งเสริมและพัฒนา SME รายประเด็น เช่น การยกระดับและส่งเสริมกระบวนการผลิต เทคโนโลยี และนวัตกรรม ตลอดจนส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน สินเชื่อ SME ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เสริมสร้างขีดความสามารถ SME เฉพาะกลุ่ม เช่น ส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่ม และสร้างเครือข่ายทางธุรกิจของ SME พร้อมผลักดันสนับสนุนให้ SME เข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจขนาดใหญ่
- พัฒนากลไก เพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริม SME อย่างเป็นระบบ เช่น การพัฒนาเครื่องมือการส่งเสริม SME ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับการพัฒนามาตรฐานให้ SME มีประสิทธิภาพเทียบเท่าสากล
ทั้งนี้ ก็เพื่อมุ่งหวังจะช่วยให้ SME สามารถเริ่มต้นธุรกิจและเติบโตได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ไปจนถึงปี 2564 ตลอดจนส่งเสริมการเข้าถึงตลาด และเข้าสู่สากล...
- เพิ่มสัดส่วนการส่งออกของ SME เป็น 30%
- เพิ่มมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยของ SME เป็น 100 ล้านบาท/ราย/ปี
(อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนการส่งเสริม SME ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2560-2564 : คลิก)
และจากข้อมูลของ สสว. หรือสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ก็พบว่า… ภาพรวมของ SMEs ในปัจจุบันมีจำนวนมากถึง 3,070,177 ราย หรือคิดเป็น 99.5% ของจำนวนวิสาหกิจทั้งหมดในประเทศ โดยจะแบ่งเป็นวิสาหกิจขนาดย่อม 384,964 ราย , ขนาดกลาง 40,652 ราย และวิสาหกิจรายย่อย (Micro) ตามบทนิยามใหม่อีกกว่า 2,644,561 รายเลยทีเดียว
ส่วนทางด้าน “ภาพรวมของจำนวนการจ้างงานในตลาดวิสาหกิจ SME ตามบทนิยามใหม่” ก็มีจำนวนรวมกันถึง 11,186,112 คน แบ่งสัดส่วนเป็นวิสาหกิจขนาดย่อมร้อยละ 25.4, วิสาหกิจขนาดกลางร้อยละ 12.6 และวิสาหกิจขนาดย่อยอีกร้อยละ 30.5
ซึ่งค่อนข้างสอดคล้องกับผลวิจัยของ ‘เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้’ ที่เผยว่า... ตลาดทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศในกรุงเทพฯ นั้น กำลังได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้ออยู่จริง (Real Demand) มากขึ้นอย่างมากในปี 2561 โดยมีการเติบโตขึ้นกว่า 104% และเมื่อพิจารณาจากระดับราคาแล้ว ก็ยังพบอีกว่า.. ตลาดทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศระดับราคา 10-20 ล้านบาท จะมีอัตราการขาย (Sold rate) สูงสุดอยู่ที่ 2.47 ยูนิตต่อเดือน โดยเฉพาะ ‘โซนใจกลางเมือง’ ที่มีอัตราการขายสูง ในขณะที่อุปทานยังคงต่ำอยู่นั่นเอง
“เมื่ออุปสงค์ของตลาดออฟฟิศสำนักงานยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราการเช่าเองก็สามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน” อย่างในไตรมาส 2 ปี 2562 ซึ่งมีอัตราการเช่ารวมอยู่ที่ร้อยละ 95.6 ขณะที่ความต้องการเช่าพื้นที่สํานักงานในแต่ละปีนั้นก็เพิ่มขึ้นประมาณ 200,000 ตารางเมตร/ปี จึงทำให้แต่ละโครงการเกิดการแข่งขันกันมากขึ้น อย่างโครงการโฮมออฟฟิศเองก็จำเป็นต้องมีจุดเด่นที่น่าสนใจ อาทิ ฟังก์ชันการใช้งานภายในโครงการ, การออกแบบพื้นที่ให้หลากหลาย สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างเป็นอิสระ, ขนาดพื้นที่ใช้สอย และพื้นที่จอดรถที่เพียงพอ เป็นต้น
ศักยภาพ “ทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ” ตอบโจทย์ตลาด SMEs
โดยทั่วไปธุรกิจ SMEs มักจะมีจำนวนพนักงานอยู่ที่ราว ๆ 7 - 15 คน ขึ้นอยู่กับขนาดของกิจการนั้น ๆ จึงทำให้ “ขนาดพื้นที่ใช้สอยภายในโครงการ” กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้ประกอบกิจการ SMEs ที่กำลังมองหาออฟฟิศใหม่ให้มีพื้นที่เพียงพอต่อการใช้งาน
สำหรับ ‘โครงการทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศขนาดใหญ่’ แม้จะเริ่มหาได้น้อยแล้ว แต่ก็ยังได้รับความสนใจจากผู้ซื้ออยู่ ด้วยข้อดีด้านความครบครัน ไม่ว่าจะเป็น การมีส่วนกลางขนาดใหญ่, ระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมและได้มาตรฐาน อีกทั้งยังได้ความเชื่อมั่นในการก่อสร้าง เนื่องจากช่างค่อนข้างมีความชำนาญ และคุ้นชินกับงานก่อสร้างหลาย ๆ หลัง และด้วยความที่อยู่อาศัยกันเป็นจำนวนมาก หลาย ๆ ครอบครัว จึงอาจก่อให้เกิดสังคมภายในโครงการได้อีกด้วย
ทางฝั่ง ‘โครงการขนาดเล็ก’ เองก็มีข้อดีแตกต่างกันไป เช่น ฟังก์ชันภายในจะค่อนข้างมีความยืดหยุ่นสูง ด้วยขนาดพื้นที่ที่สามารถออกแบบ หรือดูแลรักษาได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีจำนวนยูนิตน้อย ซึ่งค่อนข้างเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเงียบในการทำงาน และชอบความเป็นส่วนตัวในการอยู่อาศัย
ส่วนในแง่ของความคุ้มค่านั้น โฮมออฟฟิศก็ถือว่าตอบโจทย์ได้ดี ด้วยฟังก์ชันแบบ All in One ที่สามารถเป็นทั้งแหล่งสร้างรายได้ พร้อมที่พักอาศัยไปในตัว จึงช่วยให้เราประหยัดต้นทุนต่าง ๆ ลง ไม่ต้องเสียเวลา หรือจ่ายค่าเดินทางไป-กลับมากมาย
เปลี่ยนทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ
ให้กลายเป็นสินทรัพย์ขนาดใหญ่
ที่สามารถสร้างมูลค่าต่อไปในอนาคต
นอกจากความคุ้มค่าด้านการใช้งานแล้ว การซื้อทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศเพื่อการลงทุน ก็นับว่าสร้างมูลค่าให้กับผู้เป็นเจ้าของได้ไม่น้อยเลย เพราะปัจจุบันตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ ยังคงมีราคาค่าเช่าที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-5%
- โดยมี “ราคาเสนอเช่าเฉลี่ยของพื้นที่สํานักงานนอกเขตศูนย์กลางธุรกิจ” ระดับเกรดเอจะอยู่ที่ 936 บาท/ตารางเมตร/เดือน ส่วนเกรดบีจะเท่ากับ 570 บาท/ตารางเมตร/เดือน
นอกจากนี้ ค่าเช่าเฉลี่ยยังมีแนวโน้มจะปรับขึ้นไปได้สูงกว่า 1,600 บาท/ตารางเมตร/เดือนในปีหน้า จึงเป็นโอกาสดีสำหรับกลุ่มนักลงทุน ที่ต้องการสร้างกำไรจากการปล่อยเช่าทาวน์โฮม หรือโฮมออฟฟิศอีกทางหนึ่งด้วย
ข้อได้เปรียบของ “ทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ” ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ
1. มั่นใจยิ่งขึ้นด้วย ทำเลทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศ ที่มีศักยภาพสูง
เพราะต่อให้บรรยากาศภายในโครงการทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศของคุณจะสวยงาม มากด้วยฟังก์ชันขนาดไหน แต่การเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนศักยภาพของทำเลนั้น ก็มีผลต่อการตัดสินใจซื้อไม่น้อยเลย...
ซึ่งวันนี้ ESTO จะขอพาทุกคนไปรู้จักกับทำเลติดตัวเมือง ที่เป็นเหมือนจุดเชื่อมต่อของไลฟ์สไตล์ และความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกันอย่าง ‘เกษตร-นวมินทร์’ ทำเลที่มากด้วยศักยภาพในทุก ๆ ด้านของชีวิต
ค้นพบความสุขไปกับ Lifestyle Urbanista
รอบเกษตร-นวมินทร์
ไม่ว่าจะเป็น Central Eastville, Crystal Park, CDC หรือ The Walk ที่ให้คุณออกมาใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข หรือหากวันไหนว่าง ๆ ก็ลองชวนกันมาเปลี่ยนบรรยากาศทานข้าวนอกบ้าน พร้อมเดินเล่นได้ตลอดทั้งวัน เพราะแต่ละสถานที่ล้วนอยู่ไม่ไกลกันนัก สามารถเดินทางมาได้ง่าย ๆ
จึงไม่แปลกที่ราคาที่ดิน บริเวณเกษตร-นวมินทร์
จะขยับขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 200,000 บาท/ตารางวา
และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นได้อีกในอนาคต หลังจากมีการปรับผังเมืองใหม่ ทำให้ “เกษตร-นวมินทร์” ผันตัวเองมาเป็นพื้นที่พาณิชยกรรม (สีแดง) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้านการค้าและบริการ จึงยิ่งส่งผลให้ศักยภาพของทำเลโซนนี้มีโอกาสที่จะเติบโตขึ้น อย่างกรณีของ Mega Project หรือโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ในนามบริษัท ทีซีซี นวมินทร์ ภูมิพัฒน์ จำกัด ที่จะมีการปรับโมเดลการพัฒนาที่ดินย่านเกษตร- นวมินทร์ใหม่ โดยจะมีการเพิ่มพื้นที่ส่วนของรีเทลเข้ามา เพื่อรองรับการมาถึงของ “รถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล” ที่จะมีสถานีตั้งอยู่บริเวณแยกเสนานิคม
- แต่ปัจจุบันยังอยู่ช่วงพิจารณาว่าจะเป็นศูนย์การค้าเกตเวย์ หรือลาซาล อเวนิว ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักธุรกิจ และนักลงทุนที่กำลังมองหาทำเลที่ให้ความคุ้มค่าในระยะยาว เพราะเมื่อบวกกับความสะดวกสบายในการใช้งานต่าง ๆ ด้วยแล้ว... การมีทาวน์โฮม หรือโฮมออฟฟิศส่วนตัว จึงอาจตอบโจทย์คุณได้มากกว่าการเช่าพื้นที่
2. สร้าง First Impression ด้วย ’ดีไซน์สะดุดตา’
ไม่ใช่แค่เรื่องของทำเลเท่านั้น ที่เราต้องเลือกเป็นอย่างดี แต่การมีทาวน์โฮมหรือโฮมออฟฟิศที่สวยสะดุดตา ก็ส่งผลต่อจิตใจเช่นกัน แน่นอนว่า... การได้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น ร่มรื่น ร่มเงา ย่อมส่งผลต่อความสุขของผู้เป็นเจ้าของได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งใครที่มักใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ภายในทาวน์โฮม หรือโฮมออฟฟิศด้วยแล้วยิ่งต้องใส่ใจ พิถีพิถัน
ที่มา: www.areeya.co.th/homeoffice/theparti-2/
สำหรับคนที่ชอบความร่มรื่น อยากหลบความวุ่นวายมาอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ก็อาจหา ทาวน์โฮม หรือโฮมออฟฟิศที่มีสวนส่วนกลางอยู่ภายใน เพราะด้วยขนาดพื้นที่ที่กว้างขวางของโครงการแล้ว เราคงไม่ต่างจากการมีสวนสีเขียวขนาดใหญ่ตั้งอยู่หน้าบ้านเลย
- นอกจากนี้ การมีทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศที่ตกแต่งสวยงามตั้งแต่หน้าทางเข้า ยังสามารถช่วยสร้างความประทับใจ First Impression ให้กับผู้มาเยือน หรือผู้มาติดต่องานได้อีกด้วย
3. บาลานซ์ทุกจังหวะชีวิตด้วย ‘ฟังก์ชันที่หลากหลาย ลงตัว’
จุดเด่นสำคัญของโฮมออฟฟิศจะอยู่ที่ การผสมผสาน 2 พื้นที่ระหว่าง “ที่พักอาศัย” กับ ”สถานที่ทำงาน” ให้มีความลงตัวทั้งภายในและภายนอก นอกจากนี้ ทั้งสองพื้นที่ยังควรออกแบบให้สามารถปรับเปลี่ยน หรือยืดหยุ่นได้ เพื่อคอยรองรับการใช้งานทุกรูปแบบ
ที่มา: www.areeya.co.th/homeoffice/theparti-2/
“พื้นที่อำนวยความสะดวกภายในโครงการ” ควรมีความหลากหลาย สามารถรองรับการใช้งานได้อย่างเหมาะสม อาทิเช่น ห้องประชุม, Visitor Area, โถงต้อนรับ หรือจะเป็นพื้นที่ทำงานแบบโล่งกว้าง ก็ดูจะช่วยตอบโจทย์ทุกความต้องการได้อย่างอิสระ
ที่มา: www.areeya.co.th/homeoffice/theparti-2/
ทางด้านของฟังก์ชันการรักษาความปลอดภัย ก็ควรแยกสัดส่วนทางเข้า-ออกระหว่างลูกบ้าน และผู้มาเยือนให้ชัดเจน ควบคู่ไปกับการใช้งานที่สะดวกสบาย อย่างระบบ Easy Pass Access System ต่าง ๆ
ที่มา: www.areeya.co.th/homeoffice/theparti-2/
หรือแม้เต่เรื่องของที่จอดรถก็ไม่ควรมองข้าม เพราะถ้าทาวน์โฮม หรือโฮมออฟฟิศของเรามีที่จอดรถมากกว่า 100% พร้อมแยกสัดส่วนสำหรับผู้มาติดต่อให้เรียบร้อยแล้ว ก็จะช่วยลดความวุ่นวาย และให้ความเป็นส่วนตัวแก่ลูกบ้านทุกคนได้ด้วย
Work-Living-Life บาลานซ์ชีวิตให้ลงตัวทุกสไตล์
นอกจากมุมของการทำงานแล้ว “พื้นที่พักอาศัยภายในโครงการ” ก็ควรมีความเป็นส่วนตัว กว้างขวาง และตอบโจทย์การพักผ่อนได้อย่างแท้จริงเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีไซน์ที่สวยงาม หรือฟังก์ชันต่าง ๆ ภายในห้อง ก็ควรมีความครบครัน พร้อมแบ่งสัดส่วนการใช้ชีวิตให้คุ้มค่าทุกตารางเมตร
“พร้อมจะปักหมุดการใช้ชีวิตที่ทาวน์โฮม-โฮมออฟฟิศที่ใช่แล้วหรือยัง?” ถ้าอย่างนั้นลองไปทำความรู้จักกับ “The Parti เกษตร-นวมินทร์” ออฟฟิศส่วนตัว 4 ชั้น จากแบรนด์คุณภาพอย่าง Areeya ที่มาพร้อมพื้นที่จอดรถกว่า 200% และ Facilities ส่วนกลางหลากหลายฟังก์ชัน
ที่มา: www.areeya.co.th/homeoffice/theparti-2/
ต้อนรับทุกการเยือนด้วย “Main Gate” ทางเข้าโครงการสุดหรูหรา สไตล์ Modern Topical อันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมตอบโจทย์ความปลอดภัยสูงสุดด้วยทางเข้า-ออกแบบ 2 ชั้น ที่แยกสัดส่วนระหว่างลูกบ้าน กับผู้มาเยือนไว้ชัดเจน ทั้งยังติดตั้งระบบ Easy-pass Access เพื่อให้ความสะดวกสบายในการใช้งาน
ที่มา: www.areeya.co.th/homeoffice/theparti-2/
สัมผัสกับบรรยากาศที่เหมาะแก่การพักผ่อนอย่างแท้จริง ด้วย “Creative Urban Garden" สวนสีเขียวส่วนกลางสุดร่มรื่น ที่ให้คุณได้พาคนพิเศษมาใช้เวลาผ่อนคลายร่วมกัน พร้อมมีที่จอดรถส่วนกลางให้อีก 40 คัน สำหรับผู้มาเยือนด้วย
ตอบโจทย์ทุกจังหวะการใช้ชีวิตด้วยพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางกว่า 285 ตารางเมตร พร้อมที่จอดรถยูนิตละ 2-4 คัน จึงรองรับได้ทั้งงานธุรกิจ และชีวิตส่วนตัว
ที่มา: www.areeya.co.th/homeoffice/theparti-2
นอกจากนี้โครงการ The Parti เกษตร-นวมินทร์ ยังเพิ่มพื้นที่ Visitor Area ที่ให้ความเป็นส่วนตัวแก่ผู้พักอาศัยทุกคน หากใครอยากนัดคุยงาน หรือเจรจาธุรกิจสำคัญก็สามารถเข้ามาใช้พื้นที่ส่วนนี้ได้ โดยภายในจะมี Smart Locker ตู้ฝากของอัจฉริยะ ไว้ใช้งานกันด้วย
ที่มา: www.areeya.co.th/homeoffice/theparti-2/
ถัดมาเป็น Creative Community Space พื้นที่สำหรับการสร้างสรรค์ ที่พร้อมรองรับไลฟ์สไตล์อิสระด้วยฟังก์ชันการออกแบบ One Space สามารถปรับเปลี่ยน และดีไซน์การใช้งานต่าง ๆ ได้อย่างที่ใจต้องการ
ที่มา: www.areeya.co.th/homeoffice/theparti-2/
โดดเด่นยิ่งขึ้นด้วย Creative Connectivity Space พื้นที่ทำงานเปิดโล่ง สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ชัดเจน 180 องศา เสมือนว่าเรากำลังนั่งทำงานอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีแสงสว่างส่องผ่าน Bay Window เข้ามาถึงด้านใน ช่วยเพิ่มความผ่อนคลายให้คุณมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น
ให้ The Parti เกษตร-นวมินทร์
เป็นรางวัลชีวิตที่สมบูรณ์แบบ
อยากมีเวลาส่วนตัวอยู่กับคนที่คุณรักมากขึ้นไหม? งั้นลองหันมาเลือก “ที่พักอาศัย” ที่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งการทำงานและการพักผ่อนไปพร้อม ๆ กันดู ซึ่งในโครงการ
The Parti เกษตร-นวมินทร์ ก็มีห้องพักอาศัยให้เลือกตามความต้องการ อย่าง ห้อง Master Bedroom ที่ลงตัวด้วยฟังก์ชันภายใน ครบทั้งห้องน้ำส่วนตัว และ Walk in Closet ช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างลื่นไหล ทุกตารางเมตร
โครงการ The Parti เกษตร-นวมินทร์ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพอย่าง ถนนลาดปลาเค้า ที่สามารถเดินทางเข้า-ออกเมืองได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมมีเส้นทางเชื่อมต่อกับถนนสำคัญหลายสาย ไม่ว่าจะเป็น ถนนเกษตร-นวมินทร์, ถนนรามอินทรา, ถนนพหลโยธิน และยังมีจุดขึ้นลงทางด่วนเอกมัย-รามอินทราอยู่ไม่ไกล
- ซึ่งในอนาคต บริเวณรอบ ๆ โครงการจะมีรถไฟฟ้าเชื่อมต่อกันถึง 4 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีบางบัว,สายสีเทา, สายสีชมพู และสายสีน้ำตาล สถานีลาดปลาเค้าด้วย
- ลงทะเบียน : www.areeya.co.th/homeoffice/theparti-2/
- สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร : 1797