สำรวจเทรนด์การอยู่อาศัยใหม่กับยุค IOT ที่บ้านยังต้องทำงานให้เรา
30 October 2562
"ยุ่งซะจนไม่มีเวลา"
นี่คงจะเป็นนิยามการใช้ชีวิตของมนุษย์ยุคใหม่ที่ดำเนินไปด้วยความรวดเร็วตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จนเรียกว่าแทบไม่มีเวลาหยุดพักผ่อนอยู่บ้านแบบสบายใจ ซึ่งสาเหตุหลักก็มาจากปัจจัยด้านการแข่งขันทางด้านการทำงานที่สูงขึ้นจากเมื่อก่อนมาก ยืนยันได้จากผลสำรวจจาก BLT Bangkok ในปี 2018 ที่ระบุว่า คนไทยมีชั่วโมงการทำงานสูงถึงสัปดาห์ละ 50.9 ชั่วโมง ขึ้นแท่นมากที่สุดในเอเชีย สวนทางกับทั่วโลกซึ่งเริ่มพยายามที่จะลดชั่วโมงทำงานให้น้อยลง เพื่อให้ทุกคนมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น
ทั่วโลกเริ่มแล้ว แต่ถ้าไทยยังไม่ทำ เราจะมีวิธีปรับตัวยังไงได้บ้าง?
ในเมื่อประเทศไทยยังไม่ถึงช่วงของการปรับลดชั่วโมงการทำงาน เราเองที่ต้องการพักผ่อนก็คงจะต้องขอโกงเอาเวลาในส่วนอื่นมาทดแทนบ้าง ซึ่งก็คือการโกงเอาเวลาที่ใช้ในบ้านมาใช้ในการพักผ่อนแทนไม่ว่าจะเป็นเวลาของการทำงานบ้านที่จริงๆ แล้วต้องใช้หนึ่งวันเต็มในการจัดการ เวลาของการทำอาหาร รวมถึงเวลาในการดูแลส่วนต่างๆ ของบ้านที่ในปัจจุบันก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกช่วยจัดการแทนมากมาย แบบที่เราไม่ต้องมานั่งเสียเวลาจัดการให้เสร็จด้วยตัวเอง
ก้าวเข้าสู่ยุคของ IoT (Internet of Things) ที่บ้านสามารถทำงานให้คุณได้!
ถือเป็นโชคดีที่เราเกิดอยู่ในยุค IoT (Internet of Things) ที่สามารถเชื่อมโยงทุกอย่างผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส เราสามารถได้รับข้อมูลมากมายผ่าน SmartPhone ในมือ และนำข้อมูลนี้มาต่อยอดเป็นองค์ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งข้อมูลและองค์ความรู้เหล่านี้ส่งผลกลับมาในโลกความเป็นจริงของเราเองด้วย
‘บ้านอัจฉริยะ’ หรือ ‘Smart Home Solution’ ถือเป็นผลลัพธ์ของบ้านแนวคิดใหม่ ที่ถือกำเนิตขึ้นจากการประยุกต์ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ‘Internet of Things’ ที่ใช้ระบบอินเทอร์เน็ตมาเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านไม่ว่าจะเป็น หลอดไฟ เครื่องปรับอากาศ ผ้าม่าน ฯลฯ ที่เราสามารถเปิดปิดระบบการทำงานทั้งหมดเองได้ผ่านมือถือเครื่องเดียว และในบางบ้านยังใช้ระบบนี้ในการควบคุมความปลอดภัยให้เราอยู่อาศัยในบ้านได้อย่างสบายใจและไร้กังวล
นอกจากเรื่องเครื่องมือที่ใช้ในบ้านจะยกระดับให้ทันสมัยแล้ว การออกแบบบ้านในปัจจุบันยังสร้างขึ้นมาให้สอดคล้องกับความเป็น Smart Home Solution มากยิ่งขึ้นโดยคำนึงถึงตัวผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก
ยกตัวอย่างเช่น เทรนด์ Universal Design หรือ การออกแบบเพื่อคนทั้งมวล ที่ใช้การดีไซน์พื้นที่ภายในบ้านให้เอื้อต่อการใช้ชีวิตสำหรับคนทุกวัยมากขึ้น อย่างเช่นการออกแบบห้องอเนกประสงค์ไว้ชั้นล่างเพื่อให้ผู้สูงอายุที่เดินขึ้น-ลงบันไดได้ไม่สะดวกได้มีพื้นที่สำหรับการพักผ่อนบริเวณชั้น 1, การสร้างพื้นทางลาดเข้าบ้านที่มีไว้สำหรับรถวีลแชร์, การใช้คันโยกแทนลูกบิด หรือแม้กระทั่งกการออกแบบระบบหมุนเวียนอากาศภายในบ้านที่เน้นช่องระบายลมที่ดีมากกว่าบ้านแบบทั่วไป เป็นต้น
กู้คืนเวลาด้วย Smart device ที่ต้องมีไว้ติดบ้าน!
เอาล่ะ เห็นหนทางการบริหารเวลา 24 ชั่วโมงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นจากการอยู่อาศัยแล้วใช่มั้ย? แต่หลายคนอาจจะคิดว่าการซื้อบ้านตามเทรนด์ Smart Home อาจจะยากเกินไป ดูแล้วจะใช้ทุนทรัพย์ค่อนข้างสูง ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิดไปมากเลยทีเดียว
เพราะความจริงแล้ว Smart Home ที่เราพูดถึงสามารถสร้างได้ด้วย Smart device เทคโนโลยีที่อยู่อาศัยที่มีขายทั้งในห้างสรรพสินค้าและออนไลน์ทั่วไป ซึ่งไม่ได้หรูหราเกินความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย!
Smart device ที่ต้องมี : เปลี่ยนบ้านให้สามารถสั่งการด้วยเสียงได้ง่าย ๆ
เริ่มกันเลยที่ Smart device ที่ช่วยทำให้บ้านทำงานให้เราเพียงแค่ออกคำสั่งด้วยเสียง ซึ่งอุปกรณ์ประเภทนี้จะทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้ช่วยที่จัดการทุกเรื่องที่คนในบ้านสั่งให้ทำ ตั้งแต่การสั่งเปิด-ปิดไฟ ม่าน เครื่องปรับอากาศ ทีวี เล่นวิดีโอในยูทูป ไปจนถึงการตรวจสอบสภาพอากาศ หรือแม้กระทั่งเช็คข่าวประจำวันให้เราก็ทำได้
ซึ่งในปัจจุบันที่นิยมใช้กันจะเป็น Smart device จาก Google อย่าง Google Home ที่สามารถสั่งงานด้วยเสียง แค่พูดคำว่า Ok Google (อุปกรณ์ชิ้นนี้รองรับภาษาไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว) ก็สามารถใช้งานได้แล้ว
และนอกจากฝั่ง Google แล้วทางฝั่ง Amazon Alexa เองก็ออกผลิตภัณฑ์สั่งการด้วยเสียงอย่าง Amazon Echo ที่สามารถสั่งงานด้วยเสียง แค่พูดคำว่า Alexa ก็สามารถเปิดใช้งานได้ และอีกความพิเศษของ Amazon Echo คือการที่สามารถจำโทนเสียง และน้ำเสียงของผู้พูดได้ ยิ่งคุณใช้งานมากเท่าไร อุปกรณ์ก็ยิ่งจำได้ และปรับตัวเข้าหาคุณมากขึ้นเท่านั้น
Smart device ที่ต้องมี : เปลี่ยนเรื่องทำความสะอาดให้กลายเป็นเรื่องง่าย
ถือเป็นอุปกรณ์ที่คุณแม่บ้านฝันถึงเลยก็ว่าได้กับ Smart device ที่ช่วยให้การทำความสะอาดง่ายขึ้น ซึ่งเรายกมาให้ดูกันหลายชิ้นเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น...
Dyson V11 เครื่องดูดฝุ่นไร้สายรุ่นล่าสุดจาก Dyson ที่สามารถเรียนรู้ประเภทพื้นผิวตามโหมดการทำงานได้ตามต้องการ อีกทั้งยังมีจุดเด่นอยู่ตรงแบตเตอรี่ที่สามารถวิเคราะห์ด้วยตัวเองว่าเหลือพลังงานแค่ไหนและเหลือเวลาเท่าไรในการทำความสะอาดได้อีกด้วย
หมดปัญหาเรื่องการซักผ้าที่ยุ่งยากไปเลย เมื่อ LG ออกกลุ่มผลิตภัณฑ์ล่าสุดกลุ่มผลิตภัณฑ์อย่าง LG TWINWash™ เครื่องซักผ้าอัจฉริยะที่มาพร้อมกับระบบถังซักผ้าแบบคู่ ช่วยประหยัดเวลาด้วยการซักผ้าจำนวนมากในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังสามารถคสบคุมเครื่องซักผ้าผ่านแอปพลิเคชัน Smart ThinQ™ ได้ง่ายๆ ไม่ต้องไปยืนเฝ้ากันให้เสียเวลา
จากปกติที่เราทำคความสะอาดได้เพียงแค่ตัวบ้าน เดี๋ยวนี้นวัตกรรมพัฒนามาให้เราทำความสะอาดได้ยันอากาศแล้ว!
สำหรับ Smart device ที่เราจะพูดถึงจะเป็น Dyson Pure Cool Me เทคโนโลยีเครื่องกรองอากาศล่าสุดที่มาในขนาดจิ๋ว เหมาะสำหรับการกรองอากาศเฉพาะบุคคลที่สามารถกรองเกสรดอกไม้ แบคทีเรีย สารก่อภูมิแพ้ หรือ PM2.5 PM1.0 และฝุ่นที่เล็กกว่าเส้นผม 300 เท่า หมดปัญหาเรื่องฝุ่นซึ่งทำให้เกิดอาการภูมิเเพ้ไปได้เลยทีเดียว
Smart device ที่ต้องมี : เปลี่ยนบ้านให้ปลอดภัยมากกวว่าที่เคย
นอกจากเรื่องความสะดวกสบายแล้ว Smart device ยังช่วยในเรื่องของการอยู่อาศัยอย่างปลอดภัยได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น
Nest Protect ผลิตภัณฑ์ช่วยตรวจจับควัน ซึ่งพัฒนาให้ฉลาดกว่าแค่ส่งสัญญาณเตือนภัยแบบปกติ ทั้งยังคงสามารถโต้ตอบและรับคำสั่งเป็นภาษาพูดได้ สามารถแยกแยะได้ว่าควันชนิดใดเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้เป็นอย่างดี
Nest Thermostat อีกหนึ่งอุปกรณ์เกี่ยวกับอุณหภูมิที่ช่วยตรวจจับความร้อนและแจ้งเตือนความผิดปกติผ่านโทรศัพท์มือถือได้แบบ Realtime นอกจากนี้ในเวลาปกติเจ้า Nest Thermostat ยังทำหน้าที่ปรับเปลี่ยนอุณหภูมิภายในบ้านให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของเราจากการเรียนรู้ด้วยระบบอัจฉริยะ
และนี่เป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีอัจฉริยะในปัจจุบันที่เกิดขึ้นจากเทรนด์ IOT ที่จะช่วยกู้คืนเวลาให้เราเหล่าคนทำงานได้มากขึ้น หากชื่นชอบข้อมูลข่าวสารด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยภายในบ้านก็อย่าลืมติดตามอ่านกันต่อที่ https://www.estopolis.com/category/creative/innovation
บทความที่เกี่ยวข้อง :
- ทำความรู้จัก IOT นวัตกรรมล้ำสมัยที่ช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้น
- รวมนวัตกรรมเครื่องปรับอากาศ รู้ยัง? เขาทำได้มากกว่านั้นนะ
- 3 แอปแม่บ้านออนไลน์ ห้องสะอาดได้ง่ายๆแค่กดเรียก!