1 9 5 สามหมายเลขที่บ่งบอกความเป็นพระรามเก้าได้อย่างหมดจด [Ads]
1 August 2561
ถ้าพูดถึงทำเลมาแรงในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมานี้ แน่นอนว่าคุณจะต้องมี ‘พระรามเก้า’ อยู่ในลิสต์ทำเลในดวงใจอันดับต้นๆ เพราะถ้าหากลองมองย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงเปิดตัวรถไฟฟ้า MRT มาจนถึงปัจจุบัน เรายังไม่เห็นย่านนี้หยุดการพัฒนาเสียที มีแต่จะ ‘ก้าว’ ไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นด้านการคมนาคม, การพัฒนาเป็นแหล่งธุรกิจแห่งใหม่ หรือแม้กระทั่งด้านการใช้ชีวิต ในบริเวณนี้ก็มีแหล่งไลฟ์สไตล์ให้ช็อป ชิม ชิลล์แบบครบเครื่อง จนสามารถมัดใจคนเมืองได้อยู่หมัด
และด้วยความพิเศษของทำเลที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ทำให้ Estopolis อดไม่ได้ที่จะลงไปย้ำเท้า ก้าวเดินออกสำรวจ “พระรามเก้า” แบบทุกซอกทุกมุม แล้วขออนุญาตนิยามความเป็นพระรามเก้าด้วยสามตัวเลขสวยๆ อย่าง ‘1 9 5’ ที่สามารถอธิบายความเป็นพระรามเก้าได้ครบทุกมุมมอง และเลข 3 ตัวนี้จะเกี่ยวข้องอย่างไรกับย่านพระรามเก้า ตามไปดูพร้อมๆ กันเลย
‘พระรามเก้า’ 1 ในทำเล Prime Area ที่ดีที่สุดของกรุงเทพมหานคร
เริ่มต้นกันที่เลข 1 ตัวเลขแรกเริ่มที่ให้ความรู้สึกถึง THE BEST ในหลายๆ ความหมาย ซึ่งพระรามเก้าก็เป็น 1 ในทำเลที่ทำให้เรารู้จักกับคำว่า ‘ที่สุด’ ในหลายๆ ด้าน เริ่มจากการเปิดให้บริการรถไฟฟ้า MRT ในปี พ.ศ.2547 ปัจจัยที่ทำให้ทำเลนี้มีความคึกคักมากขึ้น
บวกกับการที่เส้นรถไฟฟ้า MRT กับ BTS สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ ทำให้ความเจริญจากย่านอโศก-ทองหล่อ ซึ่งเป็นเขต CBD ของกรุงเทพฯ หลั่งไหลเข้ามาในย่านนี้ด้วย และช่วยพลิกโฉมที่ดินของชุมชนดั้งเดิมให้กลายเป็นพื้นที่สำนักงานให้เช่ามากกว่า 600,000 ตารางเมตร
จนในที่สุดพระรามเก้าถูกยกให้กลายเป็น 'เขตธุรกิจใหม่ (New CBD)' มาพร้อมกับดีมานด์ด้านการอยู่อาศัยที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีผู้ประกอบการเริ่มเข้ามาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมไล่ตามแนวเส้นทางสถานี MRT บนถนนพระรามเก้า โดยเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นในช่วงปี 2549 เป็นต้นมา
ส่งผลให้พระรามเก้ากลายเป็นศูนย์รวมของทั้งแหล่งสำนักงานและแหล่งที่อยู่อาศัย จนท้ายที่สุดก็พัฒนาสู่เมืองที่เป็น Prime Area สมบูรณ์แบบ และสามารถตอบสนองความต้องการของการใช้ชีวิตได้ครบทุกมิติ
พระรามเก้า กับ 9 สิ่งที่ทำให้ย่านนี้ ‘ก้าว’ ล้ำกว่าใครๆ
สำหรับตัวเลขต่อมาคือ เลข 9 เลขที่อธิบายความเป็น Prime Area ได้ละเอียดยิ่งขึ้น โดยเราจะขอยก 9 สิ่งที่ทำให้ย่านพระรามเก้าเติบโตและมีศักยภาพในการพัฒนาไม่ด้อยกว่าใคร
1. การลงทุนอสังหา ฯ ประเภทออฟฟิศกำลังบูม
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า พระรามเก้าถูกยกให้เป็นพื้นที่ New CBD ก็เพราะเป็นศูนย์กลางธุรกิจใหม่ของกรุงเทพมหานคร ทำให้ปัจจุบันจะเห็นกลุ่มอาคารประเภทออฟฟิศเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอัตราค่าเช่า (Occupancy Rate) ของอาคารสำนักงานในพระราม 9 นั้นสูงกว่า 90% สูสีคู่คี่มากับย่านสาทร-สีลมที่มีอัตราค่าเช่า (Occupancy Rate) อยู่ที่ประมาณ 95% โดยส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่บริเวณสถานีรถไฟฟ้า MRT ศูนย์วัฒนธรรม, MRT พระรามเก้าและลากยาวไปจนถึง MRT เพชรบุรี
มาเดินสำรวจแหล่งอาคารสำนักงานในย่านพระรามเก้ากันสักนิด เริ่มจากทางฝั่ง MRT ศูนย์วัฒนธรรม ที่อาคารสำนักงานส่วนใหญ่จะอยู่ในเกรด B+ ไปจนถึง A ยกตัวอย่างเช่น AIA Capital Center, True Tower, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ Cyber world Tower เป็นต้น
ถัดมาบริเวณแยกพระรามเก้า ที่ซึ่งเป็นแหล่งอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ โดยในปัจจุบันมี supply ของออฟฟิศมากกว่า 600,000 ตารางเมตร และอาคารสำนักงานหลักๆ จะเป็น ตึก G Tower อาคารสำนักงานดีไซน์แปลกตาที่เชื่อมต่อตรงสู่สถานีรถไฟฟ้า และศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซ่า พระรามเก้าได้เลย
Unilever House ก็เป็นอีกหนึ่งอาคารสำนักงานชั้นนำ สูง 12 ชั้น มีเนี้อที่โครงการกว่า 46,000 ตารางเมตร และได้รับความไว้วางใจจาก "ยูนิลีเวอร์" บริษัทชั้นนำระดับโลก ใช้เป็นสำนักงานใหญ่ประจำประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ขยับมาฝั่งถนนอโศกมนตรีใกล้กับบริเวณ MRT สถานีเพชรบุรี ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่มีแหล่งอาคารสำนักงานใหญ่ หลากหลายกลุ่มธุรกิจ ยกตัวอย่างเช่น อาคาร GMM และสถาบันการเงินอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่แล้วอาคารสำนักงานเหล่านี้จะเป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำ ระดับ International แทบทั้งสิ้น
2.พัฒนาความเป็น New CBD อย่างต่อเนื่องด้วย Mega Project
ในอนาคตบริเวณแยกพระรามเก้ายังถูกเลือกให้เป็นทำเลที่รองรับการก่อสร้าง Mega Project ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน อย่างเช่น โครงการสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม, Makkasan Complex, แผนพัฒนาที่ดินศูนย์ซ่อมบำรุงของ รฟม.ห้วยขวาง ถนนพระราม 9 และ โครงการสร้างโรงแรม Somerset Rama IX Bangkok เป็นต้น
ตลอดจนการพัฒนาโครงการ 'เดอะ แกรนด์ พระราม 9' Mega Project จาก G Land ซึ่งรวมเอาอาคารสำนักงาน, ออฟฟิศ คอมเพล็กซ์ที่ทันสมัย, ห้างสรรพสินค้า, โรงแรม และคอนโดมิเนียมที่พักอาศัย พร้อมอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตบนเนื้อที่กว่า 1.2 ล้านตารางเมตร
และที่สำคัญที่สุดคือ การเปิดตัว The Super Tower อาคารรูปแบบ Mixed Used Development สูง 125 ชั้น รวมเนื้อที่ใช้สอยประมาณ 320,000 ตร.ม. ตั้งอยู่บนพื้นที่ของโครงการ เดอะ แกรนด์ พระราม 9 ขนาบด้วยตึก G Tower และ Unilever House โดยภายในจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
- ส่วนของอาคารสูง ที่จะประกอบด้วย สำนักงานระดับพรีเมี่ยม, โรงแรมระดับหกดาว และส่วนของสถานที่ท่องเที่ยวพร้อมแหล่งพักผ่อน
- ส่วนของศูนย์ประชุม ไว้รองรับการจัดงานประชุมใหญ่ หรือการจัดงานนิทรรศการ รวมพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร
- ส่วนของร้านค้าชั้นนำ ซึ่งจะเชื่อมต่อจากส่วน Shopping ของ เดอะ แกรนด์ พระราม 9 ขยายต่อมาถึงอาคาร The Super Tower ด้วย
โดยการมาของ The Super Tower นั้น จะทำให้ทำเลแยกพระรามเก้าทวีมูลค่าของที่ดิน และกลายเป็นจุดสำคัญที่ทำให้นักลงทุนต่างๆ อยากเข้ามาจับจองพื้นที่โดยรอบ เพื่อพัฒนาต่อเป็นอสังหาริมทรัพย์ระดับ Luxury มากขึ้นอย่างแน่นอน
3. เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย จะขายหรือเช่าก็ได้ราคาดี น่าจับจอง
และจากการขยายตัวของย่านธุรกิจมาถึงย่านพระรามเก้านี่เอง ที่ส่งผลให้ดีมานด์การอยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้น หากเราย้อนกลับไปประมาณ 10 ปีที่แล้ว ราคาที่ดินของถนนพระรามเก้าจะอยู่ที่ประมาณ 40,000-50,000 บาท/ตารางเมตร แต่ในปัจจุบัน...หลังจากมีการพัฒนาที่ดินและการคมนาคมในหลายๆ ด้าน ก็ส่งผลให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นเป็น 200,000-300,000 บาท/ตารางเมตร (อ้างอิงจาก สรุปราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน รอบบัญชี ปี พ.ศ. 2559-2562 กรมธนารักษ์) เฉลี่ยแล้วย่านพระรามเก้ามีอัตราการเติบโตของราคาที่ดินอยู่ที่ 8% ต่อปีที่มา: เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง, มกราคม 2561
นอกจากนี้การลงทุนซื้อคอนโดย่านพระราม 9 เพื่อการลงทุนนั้น ยังมีอัตราผลตอบแทนจากค่าเช่าค่อนข้างสูง โดยในปี 2560 มีอัตราเฉลี่ยผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ 5.58% เมื่อเปรียบเทียบกับทำเลในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในที่มีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5 % แล้ว ทำให้การลงทุนคอนโดในย่านนี้มีความน่าสนใจมากกว่า และยังมีศักยภาพสำหรับปล่อยขาย หรือปล่อยเช่าให้กับกลุ่มตลาดของชาวต่างชาติได้อีกด้วย
4. ทำเลยอดฮิตของนักธุรกิจชาวจีน
สำหรับชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยหรือทำงานในย่านพระรามเก้ามากที่สุด คงจะหนีไม่พ้นชาวจีน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจหรือนักลงทุนด้านอสังหาฯ โดยจุดเด่นหลักๆ ที่ดึงดูดให้นักลงทุนจีนเข้ามาพำนักอยู่ในย่านนี้คือ อย่าง สถานทูตจีน (Embassy of China) แลนด์มาร์กสำคัญที่อยู่ติดกับถนนใหญ่ ไม่ไกลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
ดังนั้น การลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่าให้กับชาวจีน จึงถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะนักธุรกิจและนักลงทุนชาวจีนส่วนใหญ่มักนิยมเข้ามาซื้ออสังหาฯ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในไทย เนื่องจากมีราคาถูกกว่าในประเทศจีน และมีเงื่อนไขการซื้อ-ขายที่ไม่ยุ่งยาก อย่าง สัดส่วนเงินดาวน์ที่จีนจะสูงถึง 35% และมีภาษีการโอนสูงกว่า 1-2 เท่าตัว ในขณะที่อัตราผลตอบแทนที่ไทยสูงกว่า เป็นเหตุผลให้ชาวจีนเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย โดยช่วงปี 2557-2558 พบว่ามีคนจีนลงทุนซื้ออสังหาฯ ในไทยเพิ่มขึ้นถึง 180% เลยทีเดียว
5. ใกล้ศูนย์การค้าชั้นนำหลายแห่ง
นอกจากจะเป็นทำเลธุรกิจใหม่ (New CBD) ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนแล้ว ด้านการใช้ชีวิตในย่านพระราม 9 ก็สามารถตอบโจทย์วิถีชีวิตแบบ Urban Lifestyle ได้เป็นอย่างดี
เริ่มจากการเป็นทำเลของห้างสรรพสินค้าชั้นนำหลายแห่ง เพราะตั้งแต่รถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีน้ำเงินเปิดให้บริการในปี 2542-2547 จะเห็นว่าทำเลพระรามเก้ากลายเป็นศูนย์รวมของห้างสรรพสินค้ามากมาย ไล่มาตั้งแต่ย่านอโศกอย่าง Terminal 21 ห้างสรรพสินค้าที่ช่วยเพิ่มความคึกคักให้กับสถานี Interchange ของรถไฟฟ้าสองสาย ภายในเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย ทั้งแบบ Street และแบรนด์ชั้นนำ โดยจะอยู่ห่างจากแยกพระรามเก้าไปประมาณ 2.3 กิโลเมตรเท่านั้น
ขยับมาทางแยกพระรามเก้า...ก็มีห้างเก่าแก่อย่าง ศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ ศูนย์รวมไอทีแบบครบวงจร ตั้งอยู่บนถนนรัชดาภิเษกมุ่งหน้าไปทางลาดพร้าว สามารถเดินเชื่อมถึงกับ Tesco Lotus สาขารัชดาภิเษก แหล่งจับจ่ายใช้สอยประจำย่านพระรามเก้าได้
โดยฝั่งตรงข้ามกับศูนย์การค้าฟอร์จูนทาวน์ จะมีอีกหนึ่งศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ที่เป็นหนึ่งในกลุ่มอาคารของ เดอะ แกรนด์ พระราม 9 นั่นก็คือ เซ็นทรัล พลาซ่า แกรนด์ พระราม 9 แหล่งรวมไลฟ์สไตล์สุดฮิต Event สุดสนุก โดยเฉลี่ยแล้วจะมีผู้ใช้บริการต่อวันอยู่ที่ประมาณ 120,000 คน
ซึ่งการมีแหล่งไลฟ์สไตล์อยู่ติดกับแหล่งงานแบบนี้จะยิ่งช่วยเพิ่มความสะดวกให้ชีวิตสามารถ Work Life ได้ Balance มากขึ้นเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะคนทำงานในอาคาร G Tower ที่ในปัจจุบันมีทางเชื่อมจากส่วนอาคารสำนักงานไปยังตัวศูนย์การค้าได้ทั้งจากชั้น B1 และชั้น 2 ได้แบบไม่ต้องเดินไปช็อปที่ไหนให้ไกล เพราะแหล่งไลฟ์สไตล์อยู่กันใกล้ๆ แค่เอื้อมนี้เอง!
ถัดไปอีกหน่อย...ใกล้กับ MRT สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จะมีห้างสรรพสินค้า เอสพลานาด รัชดา อีกหนึ่งแหล่งไลฟ์สไตล์ที่มีความหลากหลาย เพราะภายในมีทั้งโรงภาพยนตร์, โรงเรียนกวดวิชา, ร้านอาหาร และสถาบันการเงินเปิดให้บริการอยู่อย่างครบครัน นอกจากนี้บริเวณชั้น 1 ยังเปิดพื้นที่เป็นตลาดเล็กๆ เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากไปเดินร้อนๆ ที่ตลาดนัดรถไฟ ก็อาจเปลี่ยนใจเข้ามาเดินเล่นตากแอร์ในเอสพลานาดแทนได้
ใครที่เป็นคนดั้งเดิมของย่านพระราม9 คงจะจำได้ว่า สมัยก่อนที่ดินตรงข้ามแยกเทียมร่วมมิตรจะเป็นที่ตั้งของห้างโรบินสัน แล้วค่อยเปลี่ยนมือมาเป็น Outlet เสื้อผ้าสไตล์เกาหลี จนสุดท้าย TCC Capital ได้เข้ามาเช่าพื้นที่นี้แล้วเปลี่ยนเป็น The Street แหล่ง Community mall ใหม่ล่าสุดของย่านพระรามเก้าแทน ภายในเต็มไปด้วยแหล่งแฮงค์เอาท์ และร้านค้าชิคๆ ตามสไตล์คนเมืองยุคใหม่
6. รายล้อมด้วยตลาดให้เราจับจ่ายใช้สอยได้ทุกเวลา
นอกจากเป็นย่านใจกลางเมืองที่รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลายแล้ว พระรามเก้ายังมีแหล่งไลฟ์สไตล์ดีๆ ที่คอยรองรับการจับจ่ายใช้สอยได้ทุกช่วงเวลา โดยเฉพาะตลาดในย่านนี้ที่มีให้เห็นอยู่มากมายหลายจุด เรียกได้ว่า อำนวยความสะดวกให้กับคนทำงานได้ตั้งแต่ช่วงเช้า ไปจรดถึงช่วงค่ำ ย่ำถึงช่วงดึกเลยทีเดียว
สำหรับช่วงเช้าไปจนถึงกลางวัน...มักจะเป็นตลาดสำหรับคนทำงาน หรือคุณแม่บ้านที่ต้องการจับจ่ายอาหารสดและอาหารสำเร็จรูป โดยตลาดส่วนใหญ่จะกระจุกตัว รวมกันอยู่ใกล้ๆ กับรถไฟฟ้า MRT เพชรบุรี ตัวอย่างเช่น ‘ตลาดรวมทรัพย์’ ที่จะคึกคักไปด้วยร้านค้ามากมาย ทั้งร้านอาหารคาวหวาน, ผลไม้ และเครื่องดื่มต่างๆ นอกจากนี้ยังมีโซนขายเสื้อผ้าและของใช้มากมายให้เราเลือกซื้อกันตั้งแต่เวลา 05.00 – 20.00 น.
ส่วนบริเวณตรงข้ามจะเป็น ‘ตลาดนัดมศว’ ซึ่งตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัศรีนครินทรวิโรฒ เปิดให้บริการเฉพาะวันอังคารและพฤหัสบดี เป็นอีกหนึ่งตลาดที่คึกคักไปด้วยนิสิต, อาจารย์ และชาวออฟฟิศใกล้เคียง โดยตลาดแห่งนี้จะเปิดตามเวลาทำงานของพนักงานและเวลาเรียนของนิสิตในมหาวิทยาลัย
หรือถ้าเราเดินไปทางตึก GMM ก็จะเจอ ตลาดสุขตา เปิดให้บริการตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์ ภายในจะแบ่งออกเป็น 2 โซน ได้แก่
- โซนตลาดนัด : ที่จำหน่ายสินค้าแฟชั่น, เสื้อผ้าและเครื่องสำอาง
- โซนศูนย์อาหาร : ที่จะมีร้านอาหารและที่นั่งรับรองไว้คอยต้อนรับพนักงานออฟฟิศ ในช่วงเวลาพักกลางวัน
ส่วนใครที่สะดวกทานตรงแยกพระราม 9 บริเวณด้านหน้าห้างสรรพสินค้าฟอร์จูนทาวน์ก็มักจัดกิจกรรม ตั้งเต็นท์เป็นตลาดนัดให้เดินช็อปปิง กิน ดื่มกันอยู่บ่อยๆ หรือจะเดินมาทางแยกอสมท. ก็มี ‘ตลาดนัดพระราม 9’ ที่จะคึกคักตั้งแต่เวลา 11.00-14.00 น. ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับช่วงเวลาทำงาน จึงมีคนแวะเวียนมาค่อนข้างเยอะ สร้างความคึกคักให้กับทำเลพระราม 9 อยู่ตลอดเวลา
หากเลี้ยวมาทางฝั่งถนนรัชดาภิเษก จะเป็นที่ตั้งของ ‘ตลาดละลายทรัพย์ รัชดาฯ ซอย 4’ ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดที่อยู่ใจกลางย่านอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ของโซนพระรามเก้า เปิดให้บริการชาวออฟฟิศทุกวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 05.00-14.00 น. โดยภายในตลาดจะขายทั้งของกิน, ของใช้ พร้อมเสื้อผ้าราคาย่อมเยา
พอตกกลางคืนไม่ต้องไปไหนไกล เพราะใกล้ๆ กับเอสพลานาด รัชดา จะมีตลาดนัดฮิปๆ สำหรับวัยรุ่นอย่าง ‘ตลาดนัดรถไฟรัชดาฯ’ ตลาดสไตล์วินเทจที่สร้างความคึกคักให้กับทำเลรัชดาภิเษกในยามค่ำคืน จนกลายเป็นแหล่งช็อปปิ้งยอดฮิตของคนกรุงเทพฯ อีกแห่งเลยก็ว่าได้
โดยที่นี่จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น "โซนโกดัง" อาณาจักรขายของเก่า, ของแต่งบ้าน, ของสะสมสไตล์วินเทจ รวมไปถึงร้านตัดผมสุดแนวสำหรับคุณผู้ชาย และ "โซนร้านค้า" ที่ขายสินค้าแฟชั่นจำพวกกระเป๋า, รองเท้า, เสื้อผ้า ซึ่งมีให้เลือกแบบละลานตา และโซนสุดท้ายที่ไม่อยากให้พลาดคือ "โซนร้านอาหาร" กองทัพร้านอร่อยที่มีให้เลือกช็อป ชม ชิมกันแบบจุใจจนพุงกางกันเลยทีเดียว
7. เอาใจผู้ปกครองด้วยทำเลใกล้สถานศึกษาชั้นนำหลายแห่ง
สำหรับพ่อแม่ ผู้ปกครองทั้งหลาย คงอยากเลือกลงทุนคอนโดที่อยู่ใกล้ๆ กับสถานศึกษาเป็นหลัก และแน่นอนว่า ย่านพระราม 9 ก็สามารถตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะมีโรงเรียนชั้นนำทั้งนานาชาติและเอกชน ยกตัวอย่างเช่น The Regent School, Thai Japan Association School, Saint Dominic School, โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ทั้งฝ่ายมัธยมและประถม, โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส (Shrewsbury International School) เป็นต้น
สำหรับฝั่งมหาวิทยาลัยก็มีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่อยู่ในทำเลพระรามเก้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ดึงดูดให้นักเรียน, นิสิต และผู้ปกครองเลือกมาลงทุนและพักอาศัยอยู่ในทำเลแห่งนี้เป็นจำนวนมาก
8. อุ่นใจเพราะอยู่ใกล้มือหมอ
ด้านสุขภาพก็สำคัญไม่ใช่น้อย โดยทำเลพระราม 9 แห่งนี้มีโรงพยาบาลชั้นนำอยู่ใกล้ๆ หลายแห่ง เช่น โรงพยาบาลพระราม 9, โรงพยาบาลปิยะเวช, โรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงพยาบาลบุรฉัตรไชยากร (โรงพยาบาลรถไฟ), โรงพยาบาลเพชรเวช, โรงพยาบาลจักษุ รัตนิน ตลอดจนโรงพยาบาลผิวหนังอโศก เป็นต้น และในอนาคตก็กำลังจะมีการก่อสร้างและพัฒนาโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่ง นั่นก็คือ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ สาขา เพชรบุรีตัดใหม่ โดยคาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จประมาณปี 2563 นี่เอง
9. เชื่อมต่อทุกทำเลด้วยระบบการคมนาคมที่แสนสะดวกสบาย
และสิ่งสุดท้ายที่ทำให้พระราม 9 ก้าวล้ำกว่าทำเลอื่นๆ ก็คือ ความสะดวกสบายในการเดินทาง ถึงแม้ปัจจุบันจะมีปริมาณรถยนต์บนท้องถนนมากกว่า 313,663 คันต่อวัน แต่ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของทำเลที่มีผู้คนเดินทางเข้า-ออกอยู่เป็นจำนวนมาก โดยในอนาคตจะมีแผนรองรับการเดินทางที่ดียิ่งขึ้นด้วย Mega Project ด้านการคมนาคม ที่จะช่วยเพิ่มวิธีการเดินทางให้หลากหลาย ทำให้เราใช้เวลาในการเดินทางลดลง และช่วยกระจายความเจริญออกไปสู่ทำเลใหม่ๆ ได้อีกวิธีหนึ่ง
5 วิธีการเดินทางที่ทำให้เรา ‘ก้าว’ ได้รวดเร็วมากกว่าเดิม
มาถึงเลขสุดท้ายคือเลข 5 ซึ่งสอดคล้องกับข้อ 9 สิ่งที่ทำให้พระรามเก้าโดดเด่นกว่าทำเลอื่นๆ นั่นก็คือ วิธีการเดินทางอันหลากหลาย เนื่องจากทำเลพระรามเก้านับเป็นศูนย์รวมด้านการคมนาคมที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ถือได้ว่ามีเส้นทางและวิธีการเดินทางที่สะดวกและเชื่อมต่อไปได้ทั่วสารทิศ
ซึ่งวันนี้ Estopolis ก็ได้รวบรวมวิธีการเดินทางของย่านพระรามเก้ามาให้ศึกษากันถึง 5 วิธี รับรองได้เลยว่า...จะช่วยให้เราก้าวเท้าออกไปใช้ชีวิตได้สะดวกมากขึ้นอย่างแน่นอน!
วิธีที่ 1 เดินทางด้วยการขนส่งระบบราง
ทำเลพระรามเก้า ถือเป็นทำเลที่รายล้อมไปด้วยโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยเฉพาะโครงข่ายการขนส่งระบบรางที่มีให้เลือกใช้บริการได้หลากสี หลากสาย เริ่มตั้งแต่รถไฟฟ้า MRT ที่เราคุ้นเคยและใช้บริการกันเป็นประจำ ซึ่งถ้าวัดจากปริมาณของผู้ใช้งานในแต่ละวันแล้วล่ะก็ จะพบว่า สถานีพระรามเก้า นับเป็นสถานีหนึ่งที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ สาเหตุเพราะอยู่ใกล้กับจุด Interchange สถานีสุขุมวิทเพียง 2 สถานี และยังเชื่อมกับรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่มุ่งสู่ย่านนนทบุรีได้โดยง่ายอีกด้วย
และอีกหนึ่งจุด Interchange ที่ไม่ไกลจากสถานีพระราม 9 นั่นก็คือ รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต ลิงค์ สถานีมักกะสัน ที่เราสามารถนั่งจากพระราม 9 มาเปลี่ยนขบวนได้ที่สถานีเพชรบุรี ซึ่งปัจจุบันรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต ลิงค์ จะให้บริการตั้งแต่สถานีพญาไท ไปจนท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ส่วนในอนาคต...ก็จะมีโครงการก่อสร้างแอร์พอร์ต ลิงค์ (ส่วนต่อขยาย) ช่วงพญาไท-บางซื่อ-ดอนเมือง เพื่อใช้เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง 2 สนามบินหลักเข้าไว้ด้วยกัน โดยแผนนี้จะเริ่มก่อสร้างประมาณกลางปี 2561 และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ประมาณกลางปี 2565
ในเมื่อมีรถไฟฟ้าใต้ดินและรถไฟลอยฟ้าให้ใช้บริการกันในกรุงเทพฯ แล้ว แต่สำหรับคนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดก็ยังมี รถไฟสายตะวันออก ที่วิ่งจากกรุงเทพมหานคร - อรัญประเทศ ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟที่วิ่งผ่านจังหวัดฉะเชิงเทรา หนึ่งในจังหวัดที่เข้าร่วมโครงการนำร่อง “โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ พิเศษภาคตะวันออก (EEC)” เพื่อเพิ่มศักยภาพการรองรับด้านการลงทุน และการพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจและการอำนวยความสะดวกต่างๆ ในพื้นที่ รวมทั้งการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการจัดระบบการสะสมเทคโนโลยี เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศไทยอีกด้วย
และอนาคตอันใกล้นี้ก็จะมีรถไฟฟ้ามหานครสายสีส้มอีกสาย ที่จะเข้ามาให้บริการประชาชน เพื่อช่วยรองรับการขยายตัวของเมือง โดยคาดการณ์กันว่า จะสามารถใช้รถไฟฟ้าสายนี้กันได้ในปี 2566 ซึ่งแน่นอนว่าหากการเดินทางสะดวกมากขึ้น มีการเชื่อมต่อที่หลากหลายมากขึ้นขนาดนี้ มูลค่าของที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในย่านพระราม 9 คงต้องขยับตัวสูงขึ้นอย่างแน่นอน
วิธีที่ 2 การเดินทางด้วยเรือโดยสาร
นอกจากการเดินทางด้วยรถไฟสายต่างๆ แล้ว คนที่อาศัยอยู่ในย่านพระราม 9 จะยังมีวิธีการเดินทางอีกอย่างหนึ่งให้เลือกใช้ นั่นก็คือ การเดินทางด้วยเรือโดยสารคลองแสนแสบ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีการเดินทางที่ช่วยเลี่ยงรถติดบนท้องถนนให้กับคนทำงานได้เป็นอย่างดี โดยท่าเรือที่ใกล้ที่สุดจะเป็น “ท่าสะพานอโศก” เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 5:30 - 20:30 น. เหมาะสำหรับคนที่ต้องเดินทางไปทำงานฝั่งบางกะปิ หรือจะนั่งไปยังฟากประตูน้ำ, โบ๊เบ๊ ตลอดจนสะพานผ่านฟ้า เพื่อมุ่งหน้าไปยังฝั่งธนบุรีก็นับว่าสะดวกดีทีเดียว
วิธีที่ 3 การเดินทางด้วยรถสาธารณะ
ใครที่ทำงานอยู่ในย่านพระรามเก้า คงจะเคยใช้บริการวินมอเตอร์ไซค์อย่างแน่นอน เพราะมีวินมอเตอร์ไซค์กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ เพื่อซอกแซกไปตามท้องถนนในวันที่แสนเร่งรีบ หรือจะเลือกโดยสารรถแท็กซี่ก็มีให้เรียกใช้เกือบตลอด 24 ชั่วโมง สมกับเป็นเมืองที่ไม่เคยหลับไหล ส่วนการโดยสารรถประจำทางนั้นก็มีหลายสายที่วิ่งรับ-ส่งทั้งจากฝั่งรัชดาฯ, อโศกมนตรี, ดินแดงและพระรามเก้า โดยเราสามารถเช็คจุดป้ายรถประจำทางและสายรถที่วิ่งผ่านได้ที่ http://www.bmta.co.th/th/bus-lines
วิธีที่ 4 การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว
สำหรับคนใช้รถใช้ถนนเป็นประจำ คงจะคุ้นชินกับการจราจรอันแสนคับคั่งของถนนพระรามเก้าอยู่แล้ว แต่ถ้าหากมองในแง่ของการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคม ถนนพระรามเก้าก็ถือว่าเป็นศูนย์กลางของถนนเส้นสำคัญๆ อีกหลายสาย ไม่ว่าจะเป็น...
แยกพระราม 9 หากเราเลี้ยวซ้ายก็สามารถมุ่งหน้าไปยังฝั่งรามคำแหงและย่านพัฒนาการได้ หรือถ้าใครใช้ทางลัดระหว่างแยกอสมท. ก็จะสามารถออกมาสู่แยกเทียนร่วมมิตรฝั่งตรงข้ามกับ The street ได้โดยไม้จำเป็นต้องวนรถให้วุ่นวาย แต่ถ้าเลือกวิ่งเข้าถนนเพชรอุทัยจะเป็นเส้นทางลัดที่สามรถออกสู่ถนนเพชรบุรีได้เช่นกัน
จากแยกพระรามเก้า เลี้ยวขวาไปก็จะเป็นทางที่ใช้ไปยังถนนดินแดง เพื่อมุ่งหน้าออกสู่ถนนราชปรารถ, ถนนวิภาวดีรังสิต หรือถนนราชวิถี แล้วสามารถตรงไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิต่อได้
จากแยกพระรามเก้า หากวิ่งตรงขึ้นมาจะเจอกับถนนอโศกมนตรี ถนนเส้นหลักที่เชื่อมออกสู่ย่านธุรกิจได้ทั้งจากถนนเส้นหลักและตรอกซอกซอยเล็กๆ ทำให้เราวิ่งออกไปยังย่านทองหล่อและพร้อมพงษ์ได้ง่ายๆ
นอกจากนี้บริเวณถนนอโศกมนตรียังเชื่อมต่อกับถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อกับศูนย์กลางธุรกิจสำคัญได้หลายเส้นทาง อาทิ สุขุมวิท, อโศก, เอกมัย, ทองหล่อ, พระราม 9 , รัชดาภิเษก ฯลฯ อีกทั้งบริเวณแยกอโศก-เพชรบุรียังใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินเพชบุรี ซึ่งเป็นจุดอินเตอร์เชนจ์ไปยังสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต ลิงค์ได้อีกด้วย
และจากแยกพระรามเก้า หากมุ่งหน้าไปตามเส้นรัชดาภิเษกก็สามารถขับเชื่อมไปยังย่านลาดพร้าวได้ หรือจะใช้ซอยรัชดาภิเษก 19 เพื่อลัดเข้าสู่ถนนวิภาวดีรังสิตก็ได้เช่นกัน
วิธีที่ 5 ประหยัดเวลาการเดินทางด้วยการใช้งานทางด่วน
ทำเลพระรามเก้า มีเส้นทางคมนาคมที่สะดวกรวดเร็ว ตอบโจทย์คนเมืองด้วยจุดขึ้น-ลงทางด่วน ได้แก่
- ทางด่วนศรีรัช : เป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อของทางด่วนทุกเส้น เราสามารถเชื่อมเข้ากับทางพิเศษเฉลิมมหานครออกพระราม2 - บางนาได้ โดยเลี้ยวขวาผ่านแยกอสมท. เพื่อขึ้นทางด่วนศรีรัชฯ ซึ่งถ้าเชื่อมไปยังทางพิเศษอุตราภิมุข (ดอนเมือง โทลเวย์) ก็จะสามารถมุ่งหน้าออกสู่ย่านรังสิตได้
- ทางด่วนรามอินทรา-อาจนรงค์ : มุ่งหน้าออกไปยังแยกท่าเรือ ซึ่งสามารถเลือกออกไปได้ทั้งโซนบางนา และเข้าเมืองทางพระราม 3 หรือพระราม 4 ก็ได้
เมื่อ 1 9 5 เป็นสามเลขที่เติมเต็มแหล่งที่อยู่อาศัยย่านพระรามเก้าให้สมบูรณ์แบบ
‘1 9 5’ นอกจากจะเป็นสามตัวเลขที่ช่วยอธิบายความเป็นแยกพระราม 9 ให้เรารู้จักมากขึ้นแล้ว ยังเป็นชื่อของ One 9 Five Asoke - Rama 9 (วันไนน์ไฟว์ อโศก-พระรามเก้า) โครงการหนึ่งเดียวบนถนนพระราม 9 ซอย 5 จาก TC Development ซึ่งตั้งอยู่บนถนนฝั่งเดียวกับ The Super Tower ภายใต้แนวคิด Urban Midtown Oasis ตอบโจทย์คนเมืองที่โหยหาความเป็นธรรมชาติด้วยพื้นที่สีเขียวใหญ่ที่สุดใจกลางเมืองประมาณ 4 ไร่ รวมถึงการได้ใช้พื้นที่ส่่วนกลางขนาดใหญ่ถึง 8.6 ไร่ ในราคาเริ่มต้นที่ 3.69 ล้านบาท
รายละเอียดของโครงการ One 9 Five Asoke - Rama 9 (วันไนน์ไฟว์ อโศก-พระรามเก้า)
ชื่อโครงการ : One 9 Five Asoke - Rama 9 (วันไนน์ไฟว์ อโศก-พระรามเก้า)
เจ้าของโครงการ : TC Development
ที่ตั้งโครงการ : ถนนพระราม 9 ซอย 5
เนื้อที่โครงการ : 11-1-6 ไร่
ประเภทโครงการ : คอนโด High Rise สูง 61 ชั้น และชั้นใต้ดิน 1 ชั้น จำนวน 2 อาคาร
จำนวนยูนิต : อาคาร A จำนวน 954 ยูนิต และอาคาร B จำนวน 957 ยูนิต
ยูนิตต่อชั้นสูงสุด : 18 ยูนิต
แบบห้อง :
1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 25.50 - 41.00 ตร.ม.
2 Bedrooms พื้นที่ใช้สอย 55.00 - 68.00 ตร.ม.
3 Bedrooms พื้นที่ใช้สอย 94.00 - 109.50 ตร.ม.
Penthouse พื้นที่ใช้สอย 194.00 - 271.60 ตร.ม.
ที่จอดรถ : 50%
ค่าส่วนกลาง : 55 บาท/ตร.ม.
ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตร : 165,000 บาท
เว็บไซต์โครงการ : One9Five Asoke - Rama 9 (วันไนน์ไฟว์ อโศก-พระรามเก้า)
สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกที่โครงการ One 9 Five Asoke - Rama 9 (วันไนน์ไฟว์ อโศก-พระรามเก้า) มอบให้ ได้แก่ Mail Room, Meeting Room, Pool Lounge, Golf Simulator, Fitness Center, Library, Lobby, Lounge ที่ชั้น 8, Infinity Edge Pool, Sky Lounge, Spa Room, Game Room, Kids Playroom และ Theater Lounge
ภาพตัวอย่างห้องของ One 9 Five Asoke - Rama 9 (วันไนน์ไฟว์ อโศก-พระรามเก้า)
หรือคลิกลิงค์ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลข่าวสารและสิทธิพิเศษจาก One 9 Five Asoke - Rama 9 ได้ที่ http://bit.ly/2v12gwE