รูปบทความ เรียนรู้ที่จะประสบความสำเร็จผ่านการพูดคุยกับนักเทรดหุ้นมืออาชีพ 'กระทรวง จารุศิระ'

เผยวิถีแห่งความสำเร็จของนักเทรดหุ้นมืออาชีพ 'กระทรวง จารุศิระ' ที่มีคนแค่ 0.1 % เท่านั้นที่ทำได้

อยากรวย

การใช้ชีวิตอยู่ในยุคที่ค่าครองชีพแพงหูฉี่ขนาดนี้ คงไม่มีใครอยากจะปฏิเสธความอยากในสิ่งนี้มากนัก เพราะอะไรๆ ก็ต้องใช้เงิน เพียงแค่เราก้าวออกมาจากบ้านเงินที่อยู่ในกระเป๋าก็ถึงคราวต้องผลัดเปลี่ยนมือไปทันที


อย่างที่เรารู้กันว่า ความจนมันน่ากลัว ไม่มีใครอยากตกอยู่ในสถานะเป็นรองไม่ว่าจะในเรื่องอะไรก็ตาม มนุษย์อย่างเราจึงมักหาทางเอาตัวรอดกันอยู่เสมอ หลายคนจึงเลือกใช้วิธีการที่คิดว่าจะทำให้รวยเร็วที่สุด นั่นคือ การลงทุน เพราะเราคาดหวังกับค่าตอบแทนที่หอมหวาน และคิดว่าการลงทุนเป็นการทำกำไรที่ได้มาแบบง่ายๆ ไม่ต้องลงแรงมาก ขอแค่มีเงินทุนก็เพียงพอแล้ว


ก็มีหลายครั้งและหลายคนที่อยากผันตัวเข้าสู่วงการด้านการลงทุนแบบเต็มตัว มีความคิดที่จะละทิ้งงานประจำที่ทำอยู่ เพื่อค้นหาความสำเร็จที่มีมูลค่าสูงกว่า


แต่มันจะง่ายจริงอย่างที่คิดจริงหรือเปล่า และจะมีสักกี่คนที่มีโอกาสเอื้อมมือไปแตะถึงจุดที่ฝัน?

 

คำตอบของเรื่องนี้ถ้านั่งค้นหาตาม Search Engine เราคงไม่ได้คำตอบ ในวันนี้ Estopolis จึงเดินทางออกตามหาคำว่า 'ความสำเร็จ' จากปากของนักลงทุนที่คร่ำหวอดอยู่ในสังเวียนของการเทรดหุ้นมาแล้วกว่า 10 ปีกับ คุณซัน กระทรวง จารุศิระ ชายผู้ครองตำแหน่งแชมป์สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ตลาดหุ้นไทยในปี 2013 และเป็นผู้ก่อตั้ง SUPER TRADER GROUP หัวเรือใหญ่ที่เริ่มต้นการเทรดหุ้นด้วยเงินในจำนวนหลักแสน จนทุกวันนี้มีถึงหลักร้อยล้าน


อะไรคือเคล็ดลับในการใช้ชีวิตของเขา และอะไรที่ทำให้เขาเดินทางมาถึงจุดที่คน 'อยากรวย' ทั้งหลายฝันถึงได้


ให้คุณซันเล่าให้ฟัง


ESTO : ชีวิตก่อนเป็นนักเทรดหุ้นแบบ Full-Time เป็นยังไง

ถ้าจะให้เล่าย้อนไป ตอนนั้นผมเป็นคนค่อนข้างขี้เกียจแต่เรียนเก่ง พอเรียนจบปริญญาโท ตอนแรกก็อยากจะทำงานในสาขาที่ตนเรียน นั่นคือสาขาการเงิน ก็ไปสมัครงานอยู่ประมาณ 3-4 ที่ ได้งานไปแล้ว 2 ที่ แต่พอดีตอนนั้นเป็นจังหวะที่บ้านผมเปิดร้านทองสาขาใหม่ ผมก็สองจิตสองใจ อยากทำงานในสายการเงินที่ตนเองเรียนมา แต่อีกด้านก็รู้สึกว่าอยากกลับไปช่วยแม่

สุดท้ายก็เลยตัดสินใจว่ากลับไปช่วยทำงานที่บ้านดีกว่าเพราะว่าไม่อยากใส่กางเกง slack ตอนทำงาน


ESTO : เรียนปริญญาโทมา แต่ต้องมาขายทอง ชีวิตเป็นยังไงบ้าง

ต้องบอกเลยว่าร้านทองก็คือ ขายทอง รับซื้อทอง จำนำทอง จริงๆ แค่บวกลบเลขเป็นก็ทำร้านทองได้แล้ว ดูทองให้เป็นว่าทองไหนทองจริงทองไหนทองเก๊ แล้วก็น่าจะเป็นทักษะในการขายและการสื่อสารมากกว่าที่ได้ใช้ในการทำงาน

ฟังดูสบายนะ แต่มันเป็นอาชีพที่ต้องบอกว่า น่าเบื่อ ตื่นเช้ามาเปิดร้านตั้งแต่ 6 โมงเช้า ปิดร้านหนึ่งทุ่ม ทำอย่างนี้ทุกวันเป็นเวลา 5 ปี ผมเองก็รู้สึกนะว่า ถ้าผมทำร้านทองต่อสุดท้ายตรงนี้ก็น่าจะเป็นมรดกของผม แต่ผมคิดว่า ผมไม่ได้อยากจะอยู่สบายๆ รู้สึกว่าไม่ภูมิใจ เพราะว่าเราไม่ได้สร้างด้วยตัวเองก็เลยคิดว่าอยากออกมาลำบาก อันนี้พูดตามตรง คืออยากออกมาสู้เอง เพราะว่าถ้าสู้เองแล้วเราชนะเรามีความภูมิใจ

'ถ้าอยู่ที่บ้านไป อาจจะทำอีกสัก 30 40 ปี สุดท้ายก็เป็นแค่อาแปะแก่ๆ ที่เฝ้าร้านทองคนนึง มันไม่มีอะไรท้าทายในชีวิตสักอย่างเลยก็เลยตัดสินใจออกจากบ้านมาทำอะไรด้วยตัวเอง'


ESTO : จุดนี้ถือเป็นช่วงหักเหของชีวิตที่ทำให้ออกมาเล่นหุ้นเลยหรือเปล่า

ตอนนั้นเทรดหุ้นมาได้แล้วประมาณ 5 ปี ต้องเล่าย้อนไปตอนปี 2546 ผมเริ่มต้นด้วยเงินประมาณ 2 แสน คือมีเงินเก็บทั้งชีวิตแค่ 2 แสนบาท กับเงินอีก 1 แสนบาท ที่ได้จากตลาดหลักทรัพย์ที่ไปแข่ง Money Management Ambassador ก็มีทุนเริ่มต้น 3 แสน แล้วก็สร้างขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ ก็เคยทำได้สูงสุด พอร์ตเติบโตไปประมาณ 5 ล้านบาท แต่ตอนซัพพลาย พอร์ตจาก 5 ล้าน เหลือแค่ 1.7 ล้านบาท แล้วเป็นวันที่เราออกมาช่วงนั้นพอดี


ESTO : หลังจากออกจากบ้านชีวิตตอนนั้นทำอะไรต่อบ้าง

ผมทำกิจการมาหลายอย่างมาก ต้องบอกว่าจริงๆ เป็นคนขี้เกียจ แต่ชอบทดลองทำอะไรใหม่ๆ ผมเคยทำร้านอาหารมาสองร้าน มันก็ไม่ถึงกับเจ๊งหรอก เพียงแต่ว่ารายรับหลังจากที่เราหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้วมันไม่คุ้ม 

เคยไปทำรายการทีวีกับพาร์ทเนอร์คนนึง สามเดือนแรกก็หาโฆษณาได้ อีก 9 เดือนหลังหาโฆษณาไม่ได้ ไปทำเว็บไซต์เกี่ยวกับอะไหล่รถยนต์ ก็รู้สึกว่ามีแต่คู่แข่งเต็มไปหมด สุดท้ายซื้อของมาจากวรจักรก็เหลือเต็มบ้าน

ไปทำบริษัทขายโฆษณา พอพาเจ้าของรายการไปเจอกับเอเจนซี่ เราก็ได้ค่าคอมฯ แค่ครั้งแรก ส่วนครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 เขาก็ข้ามเราไปคุยกันเอง

ไปทำบริษัทนายหน้า ขายอสังหาริมทรัพย์ ขายที่ดิน รับขายฝาก บางทีก็นายหน้าคนอื่นก็งอก คนในทีมมา 10 คน 20 คนมาหารกับเรา ก็เลยรู้สึกว่าเราอาจจะไม่เหมาะกับการทำธุรกิจสักเท่าไร


ESTO : ทำธุรกิจไม่คล่อง แต่ทำไมถึงเล่นหุ้นเก่ง

เราต้องยอมรับว่า การทำธุรกิจมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบ บางอย่างวิสัยทัศน์ที่เราจะมองไปข้างหน้า อาจจะไม่กว้างพอ คราวนี้พอมาเป็นเทรดเดอร์ เราจะมองแค่วันนี้ สัปดาห์นี้ เดือนนี้ ซึ่งเราสามารถมองผลกระทบของมันได้ง่ายกว่า


เพราะอย่างนั้น การที่เราเป็นนักลงทุนที่ดีไม่ได้หมายความว่า มาเทรดหุ้นแล้วจะดี หรือเป็นคนเทรดหุ้นดีพอไปจับทำกิจการแล้วจะดีเสมอไป


ESTO : แล้วอะไรที่ทำให้ยึดอาชีพเทรดหุ้นเพื่อหาเลี้ยงชีพ

หลังจากทำมาหลายๆ อย่างเราก็รู้สึกว่า 'ถ้าเราไม่โฟกัส เราคงไม่ได้เรื่องสักอย่าง' สุดท้ายพอเรามาถามตัวเองว่าถนัดอะไร ก็เลยได้คำตอบว่าเราถนัดเทรดที่สุดแล้ว ตอนนั้นก็เลยเลิกทำทุกอย่าง เลิกเป็นนายหน้า เลิกทำร้านอาหาร เลิกขายโฆษณา แล้วก็มาให้ความสนใจกับเรื่องการเทรดแค่เพียงอย่างเดียว ซึ่งมันก็สำเร็จเพราะโฟกัสกับมันจริงๆ


ESTO : แค่โฟกัสก็พอเหรอ แสดงว่าหุ้นมันเล่นง่ายอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ ใช่ไหม

เพราะว่าผมเป็นเทรดเดอร์ Full time มา 11 ปี ถ้าเป็น Part time ก็ประมาณ 16 ปี อย่างแรกคือ มันเป็นอาชีพที่ผมชอบที่สุดแล้ว มันเลยดูเป็นเรื่องง่าย


แต่อย่างที่ผมบอกแหละครับ ผมทำมา 16 ปีเต็มมันก็เป็นเรื่อง่ายสำหรับผม ก็เหมือนกับผมทอดไข่ดาวทุกวัน ผมก็สามารถทอดไข่ดาวที่อร่อยที่สุดได้ เพราะเรารู้ว่า ถ้าเราผิดขั้นตอน process มันจะทำให้ไข่ไหม้ยังไง เทรดเดอร์คล้ายๆ กันครับ มันเหมาะกับคนที่ชอบ เพราะคุณจะสามารถทุ่มเทเวลาให้กับมันได้ แล้วพอคุณทุ่มเทเวลากับมันได้สุดท้ายคุณจะทำมันได้ดี อันนี้ผมหมายถึงทุกอาชีพนะครับ ไม่ใช่แค่เทรดเดอร์อย่างเดียว



'ผมว่า ทุกๆ อาชีพเนี่ยมันมี Key of success ของมัน เพียงแต่ผมโชคดีที่รู้ตัวว่าชอบอะไร แล้วโฟกัสกับมันสิ่งเดียวจนมันสำเร็จ'


ผมเห็นคนที่สร้างตัวจากตลาดหุ้น จากเงินต้นขึ้นมาเป็นพันเท่า หลายคนมากเลยนะครับ ไม่น่าเชื่อใช่มั้ย ใช้เวลาประมาณ 10 ปี ขึ้นมาเป็น 1000 เท่า เพราะฉะนั้นถ้าคุณสนใจตรงนี้ คุณก็ต้องทำมันให้สุด แต่ถ้าเกิดไม่ได้รักในอาชีพนี้จริงๆ ผมแนะนำว่าคุณอาจะมองแค่การเทรดหรือการลงทุนเป็นออฟชั่นเสริม แล้วศึกษาหาความรู้ต่อยอดไปเรื่อยๆ ใจเย็นๆ ไม่ต้องเร่ง 


ESTO : ในเมื่อมันไม่ง่าย แล้วทำยังไงถึงจะประสบความสำเร็จ

ผมคิดว่าถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จ อย่างแรกเลยนะครับ ศึกษาหาความรู้ ศึกษาหาความรู้ให้มากที่สุดในทุกๆ เรื่อง บางคนอาจจะชอบอสังหาริมทรัพย์ บางคนชอบหุ้น บางคนอาจจะชอบการทำธุรกิจ เวลาเราจะลงไปทำอะไรสักอย่างนึง อย่าเอาเงินทุ่มลงไป เพราะว่าถ้าเรายังไม่มีความรู้ บางทีเราไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เราจะกลายเป็นเหยื่อนะครับ


อย่างที่สองคือ เราต้องมีประสบการณ์ พยายามเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสังคมที่ทำอย่างนั้น เช่น ถ้าคุณอยากลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ คุณก็ต้องคุยกับคนที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน ถ้าคุณอยากลงทุนในหุ้น คุณก็ต้องไปเปิดพอร์ต ไปเข้าสังคมของคนเล่นหุ้น ไปคุยกันเรื่องกราฟเทคนิค ไปคุยกันเรื่องงบการเงิน ไปเข้าฟังสัมมนาบรรยาย หรือถ้าคุณอยากลงทุนทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ คุณก็ต้องเข้าไปสู่อุตสาหกรรมนั้นๆ ไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน


แล้วที่สำคัญเลยก็คือ อย่างที่สาม จงโฟกัสในเป้าหมาย คำว่าโฟกัสก็คือ จดจ่อกับมันให้มากที่สุด ผมเคยผ่านช่วงที่ผมทำสิบอย่างในเวลาเดียวกัน ซึ่งไม่ได้เรื่องสักอย่าง แต่พอผมลองมาเทรดจริงๆ  บางคนอาจจะมองว่าเวอร์ แต่การทำกำไรวันละแสน สองแสน สำหรับเทรดเดอร์เป็นเรื่องปกติเพียงแต่ว่าเราต้องให้เวลากับมันจริงๆ ครับ


ESTO : โฟกัสกับหุ้นมา 10 กว่าปี เคยพลาดบ้างไหม

ถ้าผมเคยขาดทุนหนักที่สุดก็จะเป็นปีที่แล้ว ผมก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น หุ้นมันก็ถูกทุบลงมา จนมันลงมาแล้วมันก็ลงต่อลงมาเรื่อยๆจนถึงจุดที่เค้าเรียกว่า Circuit breaker ช็อตนี้ก็โดนไปประมาณ 60 ล้านบาท 


ESTO : เราจัดการกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้ยังไง 

จริงๆ ก็เซ็งครับ เพราะว่าพอเราเอา 60 ล้าน มาเปรียบเทียบเป็นมูลค่าสินค้า 60 ล้าน ซื้อรถสปอร์ตได้ 3 คัน ซื้อคฤหาสน์ได้ 2 หลัง ซื้อคอนโดได้อีก 3 ที่ บางคนถือเป็นเงินที่สามารถใช้ได้ทั้งชีวิต

แต่พอเราคิดแบบนั้นมันไม่มีประโยชน์กับความคิดเราเลย มันมีแต่ทำให้เรารู้สึกว่าดาวน์ แล้วถ้าเราคิดซ้ำๆ วนเวียนอยู่กับเรื่องเดิม ผมว่าผมน่าจะกลายเป็นคนเป็นโรคซึมเศร้าได้เลยนะ

สุดท้ายเราก็ได้คำตอบมาว่า ไม่ว่าเราจะคิดมากขนาดไหนเนี่ย มันก็ไม่ได้กลับคืนมา เพราะฉะนั้นพอคิดอย่างนั้นได้ก็เลิกคิดครับ แล้วก็ 'ช่างมัน' เงินทองไปเที่ยว เดี๋ยวเดียวก็มา


ESTO : 3 ข้อคิดหลังจากพบความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่คืออะไร


1. กระจายความเสี่ยง

ถึงมั่นใจขนาดไหนก็ต้องมีการกระจายความเสี่ยงบ้าง เพราะถ้าเราไม่กระจายความเสี่ยงเลย แล้วมันไม่เป็นไปตามทิศทางที่เราคิด อย่างน้อยเราก็ยังเจ็บไม่หนัก แต่ถ้าเราทุ่มหมดหน้าตัก เราไม่มีการกระจายความเสี่ยง เวลาเจ็บเราจะเจ็บหนักมาก


2. อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ช่างหัวมันเถอะ

เพราะคิดไปแล้วมันก็รกสมอง ถ้าเกิดมัวไปย้ำความรู้สึกว่าเสียไป 60 ล้านนะ ขาดทุนไปเยอะขนาดนี้ได้ยังไง ผมว่าผมคงไม่มีความสุขในชีวิต จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ที่มันผ่านมามันไม่มีประโยชน์ให้เรากลับไปคิด เพราะว่าคิดไปมันก็ไม่ได้ประโยชน์ สู้เราทำปัจจุบันให้ดีแล้วมองไปที่อนาคตดีกว่า


3. ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมีความเสี่ยง

จะทำอะไรก็ขอให้พิจารณาอย่างรอบคอบ ในวันที่ชีวิตคุณพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด คุณอย่าผยอง หรือคุณอย่าลำพอง เพราะถ้าเกิดว่าคุณผยอง คุณลำพอง หรือคุณประมาท ผมว่า ชีวิตคนเรามันมีขึ้นมีลงครับ ไม่มีใครที่จะมีชีวิตที่จะเป็นขาขึ้นตลอดเวลา เพราะฉะนั้นคือเราก็ต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาทครับ


ESTO : แล้วถ้าเป็นมือใหม่ล่ะ จะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้บ้างไหม

จากประสบการณ์ที่สอนคนมาหลายพันคน  แล้วก็ได้เห็นตัวเลขของผู้แข่งขันโครงการ Super trader  สมมติถ้ามีคนร้อยคนเข้าตลาดหุ้น 80 คน คือขาดทุน

ใน 80 คนจะมีประมาณ 20 ที่หมดตัว อีก 60 คนก็มีทั้งขาดทุนมาก-ขาดทุนน้อย คราวนี้พอมาดูฝั่งอีก 20% ที่เหลือจะมี 15% ที่เท่าทุน คือได้ๆ โดนๆ ไม่ขาดทุน ได้บ้างโดนบ้าง แต่จะมีประมาณ 5 คนที่กำไร และจะมี 1 คนที่สามารถสร้างพอร์ตได้ให้เติบโต แต่ใน 100 คน จะมีแค่ 0.1 คนที่รวยมากๆ


ESTO : ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น 

เอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้ แต่ที่เห็นมาอยู่ทุกปี มันก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ผมคิดว่าเกมทุกเกมในโลกเนี่ย ออกแบบให้มีคนแพ้มากกว่าคนชนะอยู่แล้วนะ หน้าที่ของเราก็คือ เราต้องพยายาม ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงสัดส่วนตรงนี้หรอก 


ESTO : นอกจากจะต้องพยายามแล้ว คนเล่นหุ้นที่ดีควรมีคุณสมบัติแบบไหน

1. คุณต้องไม่เป็นมนุษย์ perfectionist

มนุษย์ Perfectionist ก็คือทำอะไรต้องดีที่สุด เยี่ยมที่สุด เวลาซื้อต้องซื้อที่ถูกที่สุด เวลาขายต้องขายที่แพงที่สุด ถ้าคุณเป็นคนประเภทนี้ คุณอย่ามาเป็นเทรดเดอร์ เพราะในสนามเทรดเดอร์ไม่มีคำว่า Perfect ในสนามเทรดเดอร์คือ เอาตัวรอดได้ ก็ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อนนะครับ 


2. คุณต้องเป็นคนมีวินัยสูงมาก

คนที่เป็นเทรดเดอร์ต้องรู้เลยว่า ถึงเวลาหยุดต้องหยุด ถึงเวลาซื้อคืนต้องกล้าซื้อคืน ถึงเวลาต้องทนกำไรต้องทนกำไร เพราะฉะนั้นวินัยคือสิ่งที่ต้องเขียนออกมาแปะไว้เลยครับ


3. คุณต้องพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

เทรดเดอร์ที่ดีจะต้องพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะตลาดนี้มันเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย ฉะนั้นคุณห้ามยึดติดกับอะไรทั้งสิ้น คุณต้องพร้อมเป็นน้ำที่พร้อมปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้ตลอดเวลา


4. คุณต้องไม่ที่เป็นคนที่เสียดายอดีต

ในสนามของการเทรด พอเราเห็นหุ้นขึ้น ไม่ได้ซื้อก็เซ็ง เราซื้อแล้วหุ้นลงก็เซ็ง หุ้นขึ้นแล้วไม่ได้ขายก็เซ็ง หรือบางทีขายตัดขาดทุนไปมันเด้งแสกหน้าก็เซ็ง บางทีไม่ได้ยุ่งกับมันเลย มันวิ่งขึ้นก็เซ็ง เพราะฉะนั้น ถ้าคุณมี mindset ที่ยึดติดกับอดีต อย่ามาเป็นเทรดเดอร์ครับ เพราะเทรดเดอร์อยู่กับวินาทีนี้เท่านั้น ปัจจุบันนี้เท่านั้น ส่วนที่มันผ่านมาต้องช่างหัวมันให้หมด


5. คุณต้องเป็นนักสู้ 

หลายคนที่เข้ามาเป็นเทรดเดอร์ พอโดนนิดโดนหน่อยก็กลัว ผมคิดว่าคนที่จะประสบความสำเร็จได้ ต้องเป็นนักสู้ แล้วมีแผลบ้าง ล้มบ้าง แล้วก็ต้องเดินต่อ ถ้าคุณมีสัก 5 ข้อที่ผมบอก สุดท้ายผมเชื่อว่าสำเร็จทุกคน


ESTO : สุดท้ายถ้าจะให้แนะนำสำหรับคนที่มีงานประจำ แต่กำลังคิดจะออกมาเทรดหุ้น อยากจะบอกอะไรพวกเขา

คือในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น ทำอะไรก็ง่ายไปหมด เอาลิงมาเล่นหุ้นก็ยังได้กำไร เพราะเวลาตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น หุ้นมันขึ้นทั้งตลาด เพราะฉะนั้นหลับตาจิ้มมันก็กำไรทุกตัว แต่ตอนที่ตลาดมันเป็นขาลง ผมว่าคนที่สามารถทำกำไรในตลาดขาลงได้มีน้อยมากนะครับ เราจะสังเกตว่าเวลาหุ้นขึ้นสวยๆ แม้กระทั่งมอเตอร์ไซต์รับจ้างหรือแท็กซี่ก็ยังคุยกันเรื่องหุ้น นักศึกษาจบใหม่ออกมาก็อยากเล่นหุ้น เพราะรู้สึกว่ารวยเร็วที่สุด


ต้องบอกให้ฟังก่อนนะครับ าชีพการเป็นเทรดเดอร์หรือการเล่นหุ้น มันเป็นอาชีพที่ไม่มีความมั่นคงเลย ถ้าฐานทุนของคุณยังไม่สูง ผมเคยเห็นเด็กจบใหม่หลายคนมีไฟแรงนะครับ แต่สุดท้ายถ้าเข้ามาด้วยความโลภเพียงอย่างเดียว ส่วนใหญ่ก็หมดตัวทุกคนนะครับ


ถ้าจะให้คำแนะนำผมบอกเลยว่า ช่วงนี้เป็นตลาดขาลง ทำงานประจำดีกว่า บางคนก็บอกว่าบางทีเรียนมา จบออกมาก็ได้เงินเดือนแค่หมื่นห้านะครับ ผมไม่อยากให้คิดแบบนั้น เพราะจริงๆ แล้วเงินเดือนหมื่นห้ามันสำหรับเด็กจบใหม่ การทำงานมันจะทำให้เรามีประสบการณ์ ทำให้เราเก่งขึ้น ทำให้เราเจอคน ทำให้เราเรียนรู้การทำงานกับคนอื่น เรียนรู้ระบบองค์กร

'ผมอยากแนะนำว่าถ้าจบมาแล้วอยากเล่นหุ้น ลองศึกษาเป็นทางเลือกก่อนดีกว่า'


ทำงานประจำก่อน แล้วค่อยๆ ศึกษา เพราะถ้าเกิดคุณออกมา สมมติคุณออกมาเทรดหุ้นสามปี ห้าปี แล้วปรากฏว่าคุณไม่ประสบความสำเร็จ คุณไม่สามารถกลับไปทำงานได้แล้ว เพราะบริษัทไหนก็คงไม่รับคุณ เพราะฉะนั้นเราสามารถทำงานไปด้วยได้ ศึกษาหาความรู้ไปด้วยได้ แต่ถ้าวันไหนที่คุณมั่นใจ คุณคิดว่าทางนี้เป็นทางของคุณการที่คุณจะอกมาเต็มตัว ผมก็สนับสนุนครับ

เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร...?

Related Stories

Esto Talks

See All >

Living out loud

Living out loud : VANA RESIDENCE พระราม 9 - ศรีนครินทร์