ESTOPOLIS | ลงทุนคอนโดทั้งที ศึกษาสิ่งเหล่านี้ให้ดี ก่อนจะต้องเสียใจ!!
18 May 2560
ถึงแม้สภาพเศรษฐกิจที่ผ่านมาจะดูซบเซาไปบ้าง แต่ในทางตรงกันข้ามตลาดอสังหากลับสวนกระแส ขายดิบ ขายดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดแนวดิ่งอย่างคอนโดมิเนี่ยม ที่เห็นได้ชัดว่าความร้อนแรงไม่เคยลด มีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน จึงทำให้ Developer หน้าเก่าหน้าใหม่ต่างงัดบิ๊กโปรเจ็คมาให้นักลงทุนเลือกลงทุนอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา
ปัจจัยหลักที่ทำให้นักลงทุนหลายคนเบนเข็มมาช้อนกำไรในตลาดคอนโดกันมากขึ้น เป็นเพราะ 3 ปัจจัยหลักๆ ได้แก่
1. ความมั่นคง : แสดงถึงการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในคอนโดแต่เพียงผู้เดียว ไม่ต้องแบ่งสรรปันส่วนกับใคร ทั้งยังรู้สึกว่าจับต้องทรัพย์ที่ลงทุนได้ และสามารถมอบมรดกให้กับลูกหลานต่อไป
2. ความมั่งคั่ง : ช่องทางสร้างรายได้แบบ Passive Income ที่จะมีค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ เข้ากระเป๋าทุกเดือน
3. หน้าตาทางสังคม : การลงทุนเปรียบเสมือนสิ่งที่แสดงถึงตัวตน รสนิยม ไลฟ์สไตล์ของผู้ลงทุนได้เช่นกัน
เมื่ออ่านถึงตรงนี้หลายท่านคงกำลังคิดว่าช่างเป็นช่องทางการสร้างเม็ดเงินที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ลงทุนเพียงหลักล้าน ผลตอบแทนที่กลับมากกว่าที่เห็น เรียกได้ว่า พลิกชีวิตให้คนคนนึงปลดล็อคล้านแรกได้อย่างสบายๆ
แต่… คุณคิดว่าการลงทุนคอนโด เหมือนการเดินบนกลีบกุหลาบที่หอมหวาน ไร้ซึ่งขวากหนามจริงหรือ ? คิดจริงๆ หรือว่า การลงทุนคอนโดเป็นเส้นทางที่จะช่วยปลดล็อคล้านแรกได้ง่ายๆ ? บางทีอาจเป็นเส้นทางสร้างหนี้ล้านแรกให้คุณหมดตัวก็ได้นะ
เพราะ Estopolis ไม่อยากเห็นคุณต้องหมดตัว เพียงเพราะหน้ามืดตาลายคิดไปเองว่าการลงทุนคอนโดนี่แหละคือช่องทางการสร้างเงินล้านแรก จนหลงลืมที่จะตรวจสอบตัวเองว่าลงทุนคอนโดแบบนี้มีความเสี่ยงที่จะเจ๊งสูงมาก!
“มาสำรวจตัวเองกันดีกว่าว่าคุณกำลังพก “ความเสี่ยง” ที่ว่านี้ติดตัวในการลงทุนกันอยู่รึเปล่า ??”
1. ซื้อตามกระแส เขาว่าดีก็ต้องโดน
หนึ่งในความเสี่ยงระดับสูงของการไม่ศึกษาหาข้อมูลให้รอบคอบ หลงเชื่อลมปากของ ไอดอลในดวงใจ เว็บบอร์ดการลงทุน หรือคำโฆษณาของโครงการ ที่ออกมากล่าวอ้างว่าคอนโดโครงการนี้ต้องจับมาอยู่ในพอร์ตให้ได้ ด้วยเหตุผลล้านแปด เช่น ทำเลดี, การันตี yield 8%++ , (ว่าที่) พื้นที่ทำเงินในอนาคต ฯลฯ ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้เป็นเพียงแค่คำกล่าวอ้างเท่านั้น
ซึ่งนักลงทุนที่ดีควรแยกให้ได้ว่า “ความจริง-ความเห็น” มันมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ ต้องมองให้ทะลุ อย่าให้ความอยากมาบังตา จนลืมมอง ข้อดีและข้อเสีย ของโครงการที่หมายปองไว้
2. หลงคารมน้องเซล
ต้องขอบอกเลยว่ามีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่ใจไม่แกร่งพอ พอเจอเซลล์หว่านล้อมเข้าหน่อยก็หลงเชื่อคำพูดเหล่านั้น ว่า “ขายใบจองก็ได้กำไรหรือปล่อยเช่าก็ได้เงินดี” “อนาคตจะมีรถไฟฟ้าตัดผ่านหน้าโครงการ ราคาต้องขยับเพิ่มพุ่งพรวดแน่นอน” “ซื้อไว้ยังไงก็มีคนเช่าชัวร์” และอีกหลายประโยคที่ฟังดูแล้วมีแต่รวยกับรวย
แต่อย่าลืมนะว่า เซล เขามีหน้าที่ขายของ เมื่อขายได้สิ่งที่ได้ตอบแทนก็คือค่าคอมมิชชั่น ดังนั้นเขาต้องพยายามหาวิธีชักจูงลูกค้าต่างๆ เพื่อให้ได้ค่าคอมยังไงล่ะ
3. ไม่กล้าตัดใจ
นักลงทุนต้องเข้าใจก่อนว่าการลงทุนมันไม่แน่ไม่นอน สิ่งที่เราคิดไว้อาจไม่เป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ แม้ว่าเตรียมวิธีรับมือไว้เป็นสิบๆ ข้อ ก็ใช่ว่าปัญหานั้นจะตรงกับ 10 ข้อนั้นซะเมื่อไหร่ เมื่อรู้ตัวว่าคอนโดที่ลงทุนไปเริ่มส่งสัญญาณเตือนว่าไม่น่าจะรอด ก็ตัดใจขายทิ้งไปเสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า
อย่าไปทนหรือมองโลกในแง่ดีมากเกินไปว่าสักวันราคาก็จะกลับมาเพิ่มขึ้น ยอมขาดทุนนิดหน่อยในวันนี้ ดีกว่ามานั่งเสียใจเงินหมดเป็นหนี้ก้อนโตภายหลัง คิดซะว่าเป็นบทเรียนให้เราได้เรียนรู้จะได้ไม่ทำพลาดเป็นครั้งที่ 2 และมองหาคอนโดใหม่ที่มีอนาคตสดใสรออยู่กันดีกว่า
4. กำขี้ดีกว่ากำตด
เชื่อเลยว่านักลงทุนหน้าใหม่จำนวนไม่น้อยที่ประสบการณ์ยังไม่แกร่งพอ มักมีความกลัวอยู่ในใจลึกๆ เมื่อเห็นว่าราคาขยับขึ้นนิดหน่อยก็รีบขาย เพราะกลัวไม่ได้กำไร หารู้ไม่ว่าถ้ารออีกสักนิดอาจได้กำไรเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
* ขายหมู - ราคาขึ้นมาหน่อยเดียวจึงรีบขายเพื่อทำกำไร แต่หลังจากขายราคากลับขึ้นเอาขึ้นเอา เช่น ซื้อใบจองราคา 10 บาท วันนึงเพิ่มขึ้นเป็น 20 บาท เลยรีบขาย ผ่านไป 4 เดือนราคาปรับเพิ่มเป็น 60 บาท แต่.. ขายไปแล้วที่ 20 บาท ไม่ได้กำไรเท่าที่ควร...
5. ลืมมองอนาคต
เหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นกับนักลงทุนบางกลุ่มที่แห่ไปกว้านซื้อคอนโดแถวศรีราชา เพราะหวังกำไรค่าเช่าจากชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาทำงานในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง เรียกได้ว่าพื้นที่แถบนั้นเป็น Little Ozaka เมืองไทยเลยทีเดียว นับว่าเป็นการลงทุนที่หอมหวานที่ใครๆ ต่างอิจฉากันเลยทีเดียว แต่แล้วความหอมหวานในวันนั้นกลับกลายเป็นยาพิษที่คร่าชีวิตนักลงทุนไทย...
...เมื่อบริษัทแม่เรียกตัวพนักงานชาวญี่ปุ่นกลับประเทศ แล้วหันมาจ้างพนักงานเพื่อนบ้านอาเซียน อย่าง มาเลเซียและสิงคโปร์แทน ทำให้คอนโดในแทบศรีราชาเงียบเหงา เพราะเพื่อนบ้านเราขอย้ายถิ่นไปใช้ชีวิตให้สนุกสุดเหวี่ยงในเขตพัทยาดีกว่า ซึ่งแตกต่างจากชาวญี่ปุ่นที่ชอบอยู่แบบเงียบสงบ
ดังนั้นนักลงทุนควรมองให้ครบรอบด้าน อย่าหวังกำไรเพียงเพราะปัจจุบันที่คิดว่าดี แต่ให้มองไปถึงอนาคตที่อาจจะเปลี่ยนแปลง อย่ามองเพียงการลงทุนในลักษณะเดียว เช่น ถ้าปล่อยเช่าไม่ได้แล้ว ขายต่อจะได้กำไรหรือไม่ ด้วย
จริงอยู่ที่ว่าการลงทุนอสังหาริมทรัพย์มีความเสี่ยงน้อยมากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น ตราสารทุน ทองคำ ฯลฯ แต่ใช่ว่่าจะไม่มีความเสี่ยงซะเมื่อไหร่ เผลอๆ บางทีอาจเจ็บตัวหนักกว่าการลงทุนประเภทอื่นเลยด้วยซ้ำ เพราะมูลค่าการลงทุนคอนโดแต่ละห้องไม่ใช่น้อยๆ เลย เมื่อรู้แล้วว่าความเสี่ยงที่เกิดจากตัวเองในการลงทุนมีอะไรบ้าง ก็ต้องปิดตายประตูเสี่ยงเหล่านี้ อย่าให้มาขวางกั้นการปลดล็อคล้านแรกด้วยคอนโดของเรากันเถิด!!`